การวางแผนประกันภัย Insurance Plan

การวางแผนประกันภัย Insurance

ในการวางแผนการเงิน นอกจากจะวางแผนการออม วางแผนการลงทุน วางแผนการเกษียณ วางแผนมรดกแล้ว อีกแผนหนึ่งที่จำเป็น จะต้องวางก็คือ การวางแผนประกันภัย ซึ่งจะหมายถึงทั้งการประกันภัยบุคคล และการประกันภัยทรัพย์สิน

การทำประกัน เป็นการวางแผนป้องกันไม่ให้ท่านหรือครอบครัวของท่านเดือดร้อน ในยามที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น การเสียชีวิตของบุคคลผู้เป็นกำลังสำคัญในการหารายได้ให้ครอบครัว หรือการสูญเสียสินทรัพย์ที่สำคัญ ซึ่งในหลายๆ กรณีสินทรัพย์ที่สำคัญก็คือบุคคล

การทำประกันภัยเป็นการจัดการความเสี่ยงรูปแบบหนึ่ง โดยการโอนความเสี่ยงไปให้ผู้อื่นรับแทน ถือเป็นการเตรียมการไว้ช่วยบรรเทา ความเสียหาย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ขึ้น เช่น หากเกิดไฟไหม้ ก็จะได้เงินค่าสินไหม หรือเงินชดเชย ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงิน หากต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ดี การทำประกันภัยไม่ได้ช่วยลดโอกาสเกิดปัญหา คือความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาขึ้นก็ยังเท่าเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราไม่ต้องแบกรับภาระไว้แต่ลำพัง

แนวคิดของการประกันภัยคือการเฉลี่ยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลใด บุคคลหนึ่งไปยังกลุ่มบุคคลที่เผชิญกับ ความเสี่ยงประเภทเดียวกัน และมีโอกาส คล้ายๆ กันที่จะรับความสูญเสียหรือความเสียหายจากความเสี่ยงนั้นๆ

การประกันแยกเป็นสามประเภทหลักๆ คือ

การประกันภัยบุคคล ได้แก่การประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ
การประกันทรัพย์สิน ได้แก่ ประกันอัคคีภัย ประกันภัยรถยนต์ ประกันทางทะเลและขนส่ง และการประกันภัยเบ็ดเตล็ด และ การประกันภัยความรับผิดตามกฎหมาย เช่น การประกันความรับผิดชอบของบุคคลต่อบุคคลอื่น การประกันภัยของผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะต่อบุคคลอื่น และ การประกันภัยความรับผิดชอบของธุรกิจต่อบุคคลอื่น

ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือการประกันชีวิต เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เมื่อไม่สามารถใช้ชีวิตได้เยี่ยงคนปกติ อาจจะเนื่องมาจาก การชราภาพ ทุพพลภาพ หรือจากการเสียชีวิต บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือ ผู้รับประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ใน กรมธรรม์ประกันชีวิต

กรมธรรม์ประกันชีวิต ไม่ว่าจะเรียกชื่อเฉพาะว่าอะไร จะมีหลักการคล้ายกันหมดคือ มีอยู่ 3 ประเภท และแบ่งเป็น 4 แบบ

กรมธรรม์ประเภทแรกคือ ประเภทสามัญ ประเภทนี้จะมีจำนวนเงินเอาประกันค่อนข้างสูง โดยทั่วไปกำหนดการจ่ายเบี้ยเป็นรายปี รายหกเดือน หรือรายไตรมาส หากจำนวนเงินเอาประกันสูง ก่อนทำประกันบริษัทประกันชีวิตอาจกำหนดให้ต้องตรวจสุขภาพ จะชำระเบี้ยประกันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเอาประกันและอายุของผู้เอาประกัน

ประเภทที่สองคือประเภทอุตสาหกรรม จำนวนเงินเอาประกันค่อนข้างต่ำ จึงไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่อาศัยข้อมูลจากคำแถลงในใบคำขอเอาประกันภัย กรมธรรม์ประเภทนี้โดยทั่วไปกำหนดชำระเบี้ยประกันรายเดือน
ส่วนประเภทที่ สาม เป็น ประเภทกลุ่ม คือรับประกันหลายคนในกรมธรรม์เดียวกัน การคิดเบี้ยประกันจะพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของบุคคลในกลุ่ม การประกันประเภทนี้อัตราเบี้ยประกันจะถูกกว่าการประกันภัยประเภทอื่นๆ

นอกจากแบ่งตามประเภทแล้ว ยังแบ่งลักษณะได้เป็น 4 แบบ คือ

  1. แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance) ซึ่งจะระบุเวลาคุ้มครองการเสี่ยงภัยที่เกิดจากการเสียชีวิต เมื่อครบสัญญาไม่มีข้อผูกมัดใดๆ และไม่มีมูลค่าใดๆ คืนเงินให้ด้วย
  2. แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินตามที่ระบุให้กับผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกัน ภัยเสียชีวิต ไม่คำนึงว่าจะเสียชีวิตเมื่อใด แต่ถ้าผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 99 ปี บริษัทจะจ่ายเงินให้ผู้เอาประกันแทน ดิฉันมองว่าเสมือนให้รางวัลที่ท่านอยู่มาจนใกล้จะครบร้อยปี
  3. แบบที่สามเป็นแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) ซึ่งถือเสมือนเป็นการออมรูปแบบหนึ่ง คือถ้าเสียชีวิตในระหว่างช่วงเวลาที่คุ้มครอง บริษัทประกันก็จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ แต่ถ้าผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่เมื่อครบสัญญาที่กำหนด เช่น 10 ปี 20 ปี บริษัทประกันก็จะจ่ายเงินให้ผู้เอาประกัน ณ วันครบสัญญา เบี้ยประกันที่จ่ายไปในแต่ละปีก็นำไปใช้คุ้มครองการเสี่ยงภัยส่วนหนึ่ง และออมไว้ใช้ในยามเกษียณอีกส่วนหนึ่ง
  4. แบบเงินได้ประจำ (Annuities Insurance) คล้ายๆกับแบบที่สาม แต่เมื่อครบสัญญา บริษัทประกันภัยจะจ่ายเงิน จำนวนหนึ่ง ให้เป็นประจำ ซึ่งโดยทั่วไปจะจ่ายให้เป็นประจำทุกปี จนครบเงื่อนไขตามสัญญา เสมือนหนึ่งบริษัทจ่ายเงินบำนาญ ให้ผู้เอาประกันหลังเกษียณอายุงาน แทนที่จะจ่ายเป็นเงินก้อนหนึ่งเหมือนบำเหน็จอย่างในแบบสะสมทรัพย์

สมาคมประกันชีวิตไทยแนะนำว่า หากต้องการความคุ้มครองระยะสั้น เช่น 5 ปี 10 ปี และต้องการจ่ายเบี้ยต่ำ โดยไม่มีเงินคืนในตอนท้าย ก็ควรเลือกประกันชีวิตแบบชั่วเวลา หากต้องการความคุ้มครองระยะสั้นและออมเงินไปด้วย ก็เลือกแบบสะสมทรัพย์ แต่หากต้องการ ความคุ้มครองแบบถาวร ก็เลือกแบบตลอดชีพ

การประกันภัย สามารถจำแนกได้ดังนี้
1. การประกันชีวิต (Life Insurance)
2. การประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance)

การประกันชีวิต

เป็นการบรรเทาหรือชดเชยความสูญเสียในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต หรือสูญเสียความสามารถในการหารายได้ในอนาคต ในรูปแบบของเงินทดแทนที่จ่ายโดยบริษัทประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ การออมทรัพย์ที่เกิดขึ้นจากการประกันชีวิตเป็นผลจากจำนวนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายเงินจำนวนเท่า ๆ กันอย่าสม่ำเสมอ

ชนิดของการประกันชีวิต

1. ประกันชีวิตแบบช่วงระยะเวลา (Term) เป็นกรมธรรม์ที่มีอายุจำกัด บริษัทจะจ่ายเงินสินไหมให้ผู้รับผลประโยชน์ หากผู้เอาประกันเสียชีวิตในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ แต่ไม่มีเงินคืนเมื่อครบอายุกรมธรรม์ ตัวอย่างการเลือกประกันประเภทนี้ เช่น เพื่อการประกันความเสี่ยงในการผ่อนบ้าน ถึงแม้ว่าผู้ที่เป็นรายได้หลักของครอบครัวเกิดเสียชีวิต สมาชิกในครอบครัวซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จะได้เงินประกันสำหรับชำระค่าผ่อนต่อโดยไม่มีภาระทางการเงิน
2. ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ (Endowment) เป็นกรมธรรม์ที่มีอายุจำกัด บริษัทจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้รับผลประโยชน์เมื่อเสียชีวิต แต่หากมีชีวิตครบอายุกรมธรรม์ก็จะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้เอาประกัน
3. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Wholelife) กรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันตลอดชีวิตไม่ว่าผู้เอาประกันจะเสียชีวิตเมื่อใดก็ตาม บริษัทประกันจะจ่ายเงินตามที่ตกลงไว้ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ เนื่องจากเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะเวลายาวนานมาก คือ คุ้มครองไปตลอดชีวิต ฉะนั้นจะมีเบี้ยประกันค่อนข้างสูง และยังต้องเสียเบี้ยประกันเป็นระยะเวลานาน แต่ข้อดีคือ ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังแน่ใจได้ว่าบริษัทประกันชีวิต ต้องจ่ายเงินให้ผู้รับผลประโยชน์ในท้ายที่สุด เพราะไม่มีใครหลีกเลี่ยงความตายได้
4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity) ล้ายกับแบบออมทรัพย์ โดยบริษัทประกันชีวิตจะเก็บเบี้ยประกันจนถึงอายุระดับหนึ่งแล้วทยอยจ่ายคืนเงินให้กับผู้เอาประกัน และอาจมีความคุ้มครองอื่น ๆ เพิ่มเติมเช่น
การประกันอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะ (Accident and dismemberment), การประกันกรณีทุพพลภาพ (Total Disability) ,หรือ การประกันสุขภาพ (Health Insurance)

การประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance)

แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. การประกันอัคคีภัย (Fire Insurance)
2. การประกันทางทะเลและการขนส่ง (Marine Insurance)
3. การประกันรถยนต์ (Motor Insurance)
4. การประกันเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous)

1. การประกันอัคคีภัย (Fire Insurance) หมายถึง การประกันภัยที่คุ้มครองทรัพย์สินจากภัยไฟไหม้ ฟ้าผ่า และการระเบิดของแก๊สที่ใช้หุงต้ม หรือให้แสงสว่างเพื่อการอยู่อาศัย และยังสามารถขยายความคุ้มครองภัยอื่น ๆ ได้อีกด้วย
2. การประกันทางทะเลและการขนส่ง (Marine Insurance) เป็นการประกันภัยที่คุ้มครองความเสียหายของตัวเรือ และสินค้าที่อยู่ระหว่างการขนส่ง ทั้งภายในและระหว่างประเทศ
3. การประกันรถยนต์ (Motor Insurance)จะให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถ ผู้ขับขี่รถยนต์และผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต บุคคลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายหรือเมื่อรถคันที่เอาประกันสูญหาย