ต้องอย่างนี้ ถึงจะรวย

Secrete No. 1 อย่าทำงานเพื่อเงิน

คนที่เรียนดี เรียนเก่ง ขยัน อดทน จะมีเส้นทางการเรียนการศึกษาที่มีโอกาส ในการคว้าปริญญาเอกมาได้อย่างสบาย และเขาจะประสบ ความสำเร็จในด้านการเรียนอย่างแน่นอน แต่การที่มี degree ยิ่งมาก ยิ่งทำให้สะสม ความกลัวมากยิ่งขึ้น จึงต้องตกเป็นทาสของเงิน ต้องทำงานเพื่อเงิน และจะตกเป็นทาสความเป็นลูกจ้างตลอดไป

ความกลัวที่พูดถึง ได้แก่

  • กลัวไม่เหมือนคนอื่น
  • กลัวผ่าเหล่าผ่ากอคนหมู่มาก
  • กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์
  • กลัวถูกมองเป็นตัวประหลาด
  • กลัวคนอื่นไม่ยอมรับ
  • กลัวถูกปฏิเสธ

ลองมาดูกันสิว่าจะเริ่มต้นกำจัดความกลัวกันได้อย่างไร

มองหาโอกาส (มองในสิ่งที่เราเห็น แต่คนอื่นไม่เห็น )
.....คนที่ทำงานเป็นลูกจ้างจะสนใจเฉพาะเงินเดือนและตำแหน่ง หน้าที่การงาน ทำให้พลาดโอกาสที่จะมองเรื่องอื่นนอกจากเงินเดือน ไม่เคยที่จะหาโอกาสและบางครั้งอาจจะมองหาโอกาสไม่เป็นด้วย เพราะไม่เคยถูกสอน หรือฝึกการหาโอกาส ( opportunity taker ) เป็นเรื่องน่าเศร้าถ้าไม่เคยที่จะค้นหาโอกาส แล้วเราจะไม่สามารถหามันได้เจอเลย ตลอดชั่วอายุเราที่มี และการที่เป็นลูกจ้าง เราจะไม่มีอิสระ ด้านความคิด ในแต่ละวันทำงานจะใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่ officeไม่ มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาไม่มีโอกาสทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ

.....ถ้าเราสามารถมองหาโอกาสและคว้าโอกาสที่ว่านี้มาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ได้ที่ทำให้เราสามารถสร้างธุรกิจขึ้นมาได้ สิ่งที่จะต้องทำ ต่อไปคือ ความรู้เรื่อง การเงิน-financial- ดังนั้นเราต้องมีความรู้เรื่องการเงินให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้วิชานี้ ทำให้เงินมันทำงานให้เรา แทนที่เราจะมาทำงานเพื่อมัน

....อย่าทำงานเพื่อเงิน จงให้เงินมันทำงานให้ เรา
....ตอนเป็นเด็ก เรียนหนังสือเป็นที่หนึ่ง ของห้องมาตลอด แต่ความเป็นหนึ่งกับเป็นตัวร้าย เพราะทำให้เกิดการยึดติด ไม่สามารถมองหาโอกาสอื่นได้ จะมี EGO ติดตัวไปตลอด ทำอะไรก็จะห่วงภาพพจน์ ของคนที่เรียนเก่ง จึงเกิดความกลัว

 Secret no. 2 ต้องรู้เรื่องการเงิน

 การทำงานแล้วได้เงินมาจำนวนมาก ไม่สำคัญเท่ากับการรักษาเงินที่มีให้อยู่กับเราไปตลอด คนจนที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงินอาจจะเฮงถูกหวยได้เงินล้าน แต่สั่งเงินที่ได้มานั้นทำงานไม่เป็น จัดการไม่เป็น เลยทำให้ต้องจนเหมือนเดิมก็มีถมเถไป

ความรู้เรื่องการเงินไม่จำเป็นต้องซับซ้อน สามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้ดังนี้

Asset
หมายถึงสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับเรา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การซื้อบ้านด้วยเงินผ่อนเพื่อจุด ประสงค์ที่ต่างกันจะทำให้ความหมายของบ้านที่ ซื้อมานั้นต่างกันด้วย คือ ถ้าซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยอย่างเดียว อย่างนี้เรียกว่าหนี้สิน (Liability) แต่ถ้าซื้อบ้านมาเพื่อ ให้คนอื่นเช่าส่วนหนึ่งหรือเช่าทั้งหลังโดยที่ค่าเช่า มากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร อย่างนี้สิ เรียกว่า ทรัพย์สิน(Asset)


.....ทำไมคนรวยยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ก็ยิ่งรวยมากขึ้น เพราะคนรวยใช้เงินทำงานให้ตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เงินมันเป็นทาสของคนรวย และเงินมันต้องทำงานเป็นทาสรับใช้คนรวยตลอดไป

.....คนรวยเมื่อมีหรือหา asset เข้ากระเป๋าหรือเข้าระบบความรวยแล้ว เจ้า asset ตัวนี้ก็จะทำหน้าที่สร้างรายได้ (income) กับตัวเขา แล้วรายได้ที่ได้มาจาก asset นั้น สามารถนำไปใช้จ่ายได้อย่างอิสระ ส่วนที่เหลือจากการใช้ก็สามารนำมาลงทุนต่อเพื่อทำให้ asset มันโตขึ้น ใหญ่ขึ้น มากขึ้น และมันก็จะงอกเงยเป็นเงินได้อีกอย่างไม่รู้จักจบสิ้น นี่สิเรียก ว่ารวยอย่างอิสระ รวยอย่าง ไม่ต้องมานั่งทำงานเป็นลูกจ้างตลอดไป......

 การซื้อบ้านหรือรถยนต์ราคาแพงทำให้สูญเสียหลาย อย่างเช่น

  1. สูญเสียเวลา
    เพราะค่าของเงินขึ้นกับเวลา Future Value แทนที่จะนำเงินที่ซื้อบ้านมาลงทุน และปล่อยให้มันงอกเงยตามเวลาตามสูตร
    FV = PV* (1+R)^N
  2. สูญเสียเงินทุน
    เพราะเงินที่หาได้มาจากเงินเดือนเสียส่วน ใหญ่จะจ่ายผ่อนกับธนาคาร ไม่มีเหลือพอ ที่จะลงทุน
  3. สูญเสียโอกาสลงทุนรูปแบบอื่นๆ
    เพราะหลงคิดผิดว่า การซื้อบ้านเป็นการลง ทุนอยู่แล้ว เลยไม่สนใจที่จะไปลงทุนอย่าง อื่น

วิถีคนรวย

  • ลงทุนใน asset
  • asset สร้าง income
  • นำ income มาใช้จ่าย
  • จัดส่วนที่เหลือมาลงทุนเพิ่ม asset ให้ใหญ่ขึ้น
  • เริ่มขบวนลำดับที่ 1 ใหม่ แต่ตอนนี้ asset จะมากขึ้น income ก็ จะมากขึ้น

จากขบวนการข้างต้น สังเกตเห็นว่า เราไม่ต้องมานั่ง ทำงานเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนเลย

ตัวอย่างอีกอันหนึ่งคือ การซื้อรถ ปัจจุบันราคารถยนต์แพงเหลือเกิน คันหนึ่งเกือบล้านแล้ว แถมซื้อเงินผ่อนอีก value ของรถก็ลดลงทุกปี แถมมันก็ไม่สามารถสร้าง income ให้กับเราได้เลย ต้องมาคอยผ่อนรถทุกๆ เดือน อีกทั้งยังต้องเจียดเงินเพื่อใช้บำรุงรักษารถ เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนตลอดอายุการผ่อนรถ 4-5 ปีทีเดียว ไอ้อย่างนี้นะ เรียกหนี้สินเต็มๆเลยแหล่ะ

เงินไม่สามารถแก้ ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่ ความรู้เรื่องเงินสิ แก้ ปัญหาได้.....
ถ้าอยากรวย ต้องมี ความรู้เรื่องการเงิน
คนรวยหาทรัพย์สิน ใส่ตัว ต่างจากคนจนที่ หาหนี้สินใส่ตัว
คนเรียนเก่ง ในอนาคต อาจสามารถหาเงิน ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ส่วนใหญ่ขาด ความรู้เรื่องการเงิน ก็เลยต้องทำ งานหนักตลอดชีวิต
โรงเรียนเป็นสถานที่ ผลิตลูกจ้างที่ดี
คนที่ฉลาดคือคนที่ สามารถใช้หรือจ้างคน อื่นที่ฉลาดกว่าเรามา ทำงานให้เรา กินเงิน เดือนจากเรา
อารมณ์ เป็นตัวอันตราย ต่อการใช้สติปัญญาเรื่องการเงิน
คนที่มึความมั่นคง ทางการเงิน (wealth) คือคนที่ไม่ต้องทำงาน แต่ก็ยังมีเงินใช้ไม่อดตาย ( เพราะเงินมัน ทำงานให้เรา )

Secret no. 3 เพิ่มพูนช่องทรัพย์สิน ( Own Business )

เคล็ดลับ อย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิตประสบความ สำเร็จ ในด้านการเงินนั้น คือต้องทำให้ช่องที่เป็น asset ทวีคูณ มากยิ่งขึ้น ยิ่งทำมาก ยิ่งรวยมาก แต่สิ่งสำคัญมากกว่านี้คือ จะเพิ่มช่อง asset อย่างไร

อาชีพ ( career )

การที่เราต้องทำงาน พบลูกค้า ติดต่องานกับคนอื่นๆ ใช้เวลาหรือให้เวลากับสิ่งที่เราทำ เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเรา อย่างนี้เรียกว่า อาชีพ
ธุรกิจ (business)

 การที่เรามีองค์กรที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเราโดย ที่ในองค์กรนั้น มี staff ที่มีความสามารถซึ่งอาจจะต้องจ้าง หรือให้เงินเดือนและผลตอบแทนที่สูงโดยที่เราไม่ต้องไปดูแล มากมายแต่คอยกำกับในเรื่องนโยบาย เพื่อให้องค์กรสามารถมีผลประกอบการเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หรืออาจจะมองมุมกว้าง คือเป็นการลงทุนนั้นเอง

ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนั้นคือการเป่าหัวนัก เรียนมาตลอดหลายชั่วคน โดยสอนนักเรียนให้เรียนรู้ในสา ขาที่เรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถหางานทำในด้านที่ตัวเองได้เรียน และก็ตกเป็นทาสของเงิน หรือเริ่มเข้าสู่สนามวงกต ทั้งนี้ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย อีกทั้งครู อาจารย์ไม่ได้สอนให้นักเรียนมีความรู้เรื่องเงิน การลงทุน ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว ครูอาจารย์ก็ไม่มีความรู้เรื่องเงินทองเช่นกัน เลยไม่สามารถถ่ายทอดให้นักเรียนได้

ลองมาดู pattern ของมนุษย์เงินเดือนเป็นอย่างไร 
1. income รายได้มาจากเงินเดือน (เพียง อย่างเดียว) นี่เป็นการทำงาน ให้นายจ้าง
2. expense ภาษีรัฐ ทำงานให้รัฐ
3. asset ไม่ได้ใส่ (เพราะเข้าใจ ความหมาย asset ผิด)  
4. liability ซื้อบ้าน รถ เฟอร์นิ เจอร์ ด้วยเงินผ่อน ทำงานให้เจ้าหนี้ เช่นธนาคาร

 จะเห็นว่า มนุษย์เงินเดือนเข้าใจผิดมาตลอด สร้างหนี้สิน โดยซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกโดยคิดมาตลอดว่าเป็นการ ซื้อทรัพย์สิน พอนานเข้า ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ธนาคารก็พอกพูนขึ้นโดย เงินเดือนขึ้นไม่มากพอกับอัตราเพิ่มของหนี้สิน แถมเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นรัฐบาลก็เกาะเราแน่นหนึบมากขี้นด้วย ......ชีวิตเริ่มย่ำแย่

วิธีแก้ไข
เปลี่ยน paradigm ใหม่โดยพยายามเพิ่มช่อง asset ให้มากขึ้น ลดช่อง liability

1. เพิ่มช่อง asset
ทำงานกินเงินเดือนไปพร้อมกับหาแนวทางในการทำ ธุรกิจของตัวเองเงินเดือนที่ได้พยายามเจียดส่วนหนึ่งมาลงทุน ซึ่งการลงทุนก็คือการเพิ่มช่อง asset ให้ทวีมากยิ่งขึ้น หากเราไม่ถนัด หรือไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็อย่าไปฝืนมันโดยเปลี่ยนวิธีการลงทุน ซึ่งรูปแบบการเพิ่มช่อง asset มีหลายวิธีดังนี้

  1. Own your business
  2. Stocks
  3. Bond
  4. Fund
  5. Real Estate
  6. Promisary Note
  7. Copyright
  8. The thing it's value added by time

2. Discipline
นี่สำคัญต้องมีวินัยในการเงินเคยวางแผนการเงินไว้อย่างไร ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างครบถ้วนอย่าหลอกตัวเอง อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง

3. อย่าพยายามเพิ่มช่อง Liability
หลายคนพยายามสร้าง image ของตัวเองให้ดูดีด้วยการหาซื้อเฟอร์นิจอร์ ราคาแพงมาเสริมสร้างบุคคลิกของตัวเอง เช่น ซื้อรถราคาแพง นาฬิกา แหวน ทอง เพชร บ้าน ราคาแพงไว้คอยต้อนรับ ไว้คอยอวดเพื่อนฝูง 

4. ควบคุม ลด รายจ่าย expense
ซื้อในสิ่งที่ควรซื้อ นับ 1-10 ดูว่าหากไม่ซื้อของชิ้นที่อยากได้ ชีวิตเราจะย่ำแย่หรือไม่ หากไม่ย่ำแย่แล้วจะซื้อทำไม 

5. พิจารณาในการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก

คนจน: 

มักซื้อของด้วยการสร้างหนี้ หมายถึงเงินไม่มีแต่อยากได้ ก็ไปยืมเงินคนอื่นหรือกู้ยืมธนาคาร กลายเป็นการสร้าง liability อีกทั้งของที่ซื้อนั้นไม่สามารถสร้างรายได้อีก ภาระที่ตามมาคือ
- สร้างหนี้

-

สินค้าหรือของที่ซื้อ value discount ทุกปี

คนรวย: 

มักซื้อ ของที่อยากได้โดยไม่เดือดร้อน เพราะคนรวยมักเอาเงินส่วนเกิน หรือส่วน ที่ได้มาจาก asset ไปซื้อโดยที่ตัวเองไม่ ต้องทำงานหนักด้วยซ้ำไปเพราะเงินมันทำ งานให้
The Richer Path

Secret no. 4 ภาษี และ นิติบุคคล

การตั้งบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น มีประโยชน์ในแง่การเสียภาษีและยังสามารถ claim expense ได้

ค่าใช้จ่ายของบุคคลธรรมดานำไปลดหย่อนภาษีในวงจำ กัด แต่ถ้าหากอยู่ในรูปบริษัทแล้วสามารถ claim ค่าใช้จ่ายได้เต็มที่ เช่นถ้าบริษัทซื้อรถยนต์ สามารถนำไป claim ค่าใช้จ่ายได้เต็มๆ แล้วค่อยนำกำไรส่วนนี้ ไปคำนวณเพื่อ เสียภาษีต่อไป ดังนั้นความรู้เรื่องภาษีจะมีประโยชน์ต่อเรา ไม่น้อยทีเดียว ควรให้ความสำคัญเรื่อง tax ด้วย

สิ่งที่ควรหาความรู้เพิ่มเติม

1. ความรู้ด้านบัญชี อย่างน้อยต้องอ่านงบการเงินได้ เพื่อให้รู้จุดอ่อนจุดแข็ง ของบริษัทๆสามารถวิเคราะห์งบการเงินได้

2. ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
เป็นศิลปะในการใช้เงินมันทำงานให้เรา

3. ความเข้าใจด้านตลาด
ต้องรู้เรื่อง demand & supply ของธุรกิจ รู้เรื่องการขาย เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเป็นคนที่สร้างและหาโอกาสเป็น

4. ความรู้เรื่องกฎหมาย กฎเกณฑ์
ต้องรู้เรืองกฎหมายทุกตัวที่มีผลต่อการทำธุรกิจของเรา อีก ทั้งเรื่องภาษีด้วย

5. มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
เป็นการคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนอื่น เพื่อหาโอกาสลงทุน ได้ก่อนคนอื่น อันนี้ยาก ต้องฝึก ต้องสะสมประสบการณ์

6. ทำอย่างไรจึงจะได้เงินมาทำทุน
ต้องมีไหวพริบทางการเงิน ไม่จำเป็นต้องกู้ธนาคาร

7. ทำอย่างไรจึงจะได้คนฉลาดมาทำงานให้เรา
อย่าลืมนะว่า คนที่ฉลาด คือ คนที่สามารถจ้างคนฉลาดกว่า มาทำงานให้เรา

ข้อแตกต่างในการเสียภาษีระหว่างนิติบุคคลและบุคคล ธรรมดา
นิติบุคคล บุคคลธรรมดา
รายได้ รายได้
รายจ่าย เสียภาษี
เสียภาษี รายจ่าย

หากเป็นบริษัทฯ เมื่อมีรายได้เข้ามายังบริษัทฯ รายได้ที่รับมานั้นยังไม่ต้องนำไปคำนวณภาษี เนื่องจากบริษัทฯยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอีกมาก มายดังนั้น รัฐบาลก็ใจดี ให้บริษัทฯ เจียดเงินไปใช้จ่ายก่อน หลังจากนั้นเหลือเงินเท่าไหร่ ค่อยเอามาคำนวณภาษีให้รัฐ

ต่างจากมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้จากเงินเดือน แต่ขอโทษทีเงินที่ได้มายังไม่ได้เอาไปใช้เลย ก็ต้องถูกหักภาษีนำส่งรัฐบาลก่อน เงินเดือนที่บริษัทฯบอกคุณว่าคุณได้เท่านั้นเท่านี้ แท้ที่จริงนั่นเป็นตัวเลขการหักภาษี ไม่ได้เต็มจำนวนหรอก

เมื่อถูกหักภาษีแล้วจึงเหลือมาใช้จ่ายต่อไป paradigm แบบนี้ทำไมไม่ตั้งบริษัทฯ หรือทำธุรกิจในลักษณะนิติบุคคลล่ะ

Secret no. 5 วิธีทำเงินของคนรวย

คะแนน สอบตอนเรียนหนังสือไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด นักเรียนที่เรียนเก่งในชั้นเรียนอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ ในอนาคตก็ได้ นอกเหนือจากคะแนนสอบแล้วสิ่งที่ควรมี หรือควรฝึกฝนเพื่อให้ your live go success คือ
- ความกล้า
- ความมั่นใจ
- ความขยันหมั่นเพียร
- ความมุทะลุ
- ไหวพริบ (ทางการเงิน)
- ความอดทน (อึด)

คนส่วนมากมีความรู้ เก่ง ฉลาด แต่ขาดความกล้า และ ความมั่นใจ ซึ่ง 2 สิ่งนี้ เป็นอุปสรรคที่คอยกดไม่ให้เราแสดงออก

 คนส่วนมากกลัวความเปลี่ยนแปลง บางคนทำงานเป็นลูกจ้างเงินเดือนสูง มีบ้าน มีรถ ราคาแพง ที่ต้องผ่อนจึงตก เป็นทาสเงินเดือน และยังหลอกตัวเองว่า อาชีพของตัวเอง มั่นคงอยู่ เลยต้องตั้งหน้าทำงานหนักต่อไป และ ต่อไป

โอกาสทางการเงิน

คนที่ยึดติดกับช่องทางที่เงินไหลเข้าด้วยการเป็นพนักงาน ลูกจ้างกินเงินเดือนอย่างเดียวนั้นจะทำให้เขาขาดโอกาสในการเพิ่ม ช่อง assetแต่สิ่งที่จะช่วยให้คนเงินเดือนสามารถเพิ่มช่อง asset ได้นั้นคือ ไหวพริบทางการเงิน และ ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเป็นช่องทางในการหาโอกาสทางการเงิน

ไหวพริบ และ ความคิดสร้างสรรค์จะทำให้เราคิดหาทาง ออกในทุกๆเรื่องได้ อย่าคิดว่าบางเรื่อง เราทำไม่ได้ แต่ให้เราคิดมากๆ ในเชิงสร้างสรรค์ด้วยการสนับสนุนของ ไหวพริบทางการเงินว่าไอ้ที่เราคิดว่าทำสิ่งนั้นไม่ได้ ให้ คิด ใหม่ว่า " จะทำอย่างไร-how " ถึงจะได้สิ่งนั้นมา

คนรวยกล้าที่จะทำ กล้าที่จะลงทุน เพราะเขาคิดเสมอว่าการลงทุน เหมือนการเล่นเกมส์ มีทั้งชนะและ แพ้ แต่ถ้า เราฝึกฝนทุกวัน จนมีความชำนาญ เชี่ยวชาญแล้ว เราย่อมมีความมั่นใจ จนสามารถบริหารความแพ้ได้ ซึ่งในแง่การ เงินแล้ว การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าเราสามารถบริหารความ เสี่ยงได้ เราจะเป็นผู้ชนะ

จงคิดเสมอว่า คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะพบกับความ ล้มเหลวมาแล้วแทบทั้งนั้น และความล้มเหลวนี้เองเป็นส่วนหนึ่ง ของความสำเร็จ คนที่กลัวความล้มเหลว จะหมดโอกาสได้ร่ำรวย เพราะคุณไม่ได้เริ่มเลย....เปรียบเหมือนการวิ่ง ถ้าไม่เริ่มออกจากจุด start คุณจะไปถึงจุด finish ได้อย่างไร

Secret no. 6 ทำงานเพื่อเรียนรู้ แต่อย่าทำงานเพื่อเงิน

ในขณะที่เราต้องทำงานเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน แน่นอน เงินมันสำคัญแต่อย่าให้มันเป็นนายเราก็แล้วกัน คืออย่าทำงานเพื่อเงิน แต่ในระหว่างที่ยังเป็นลูกจ้างอยู่นั้น ต้องเรียนรู้หาประสบการณ์ เรียนรู้ในหลายๆเรื่อง หลายๆ สาขา เพื่อเป็นฐานที่แข็งแกร่ง

ความรู้ทั้งหมดที่เราเรียนรู้นั้น จะเป็นตัว convert จาก การทำ งานเพื่อเงิน ให้เงินมันทำงานให้เรา

ไหวพริบทางการเงินและ ความคิดสร้างสรรค์เพื่อ การสร้างโอกาส ทางการเงิน

ไหวพริบทางการเงิน และ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่สามารถ ฝึกได้

Secret 7 : ฟันฝ่าอุปสรรค

วิธีการทำให้ asset มันสร้างรายได้ให้เราได้นั้นเราต้องใช้ไหวพริบทางการเงิน ถ้า เราไม่กล้า หรือ กลัวที่จะลงทุนล่ะ ความ รวยก็หลุดลอยไปอุปสรรคหลายอย่างที่เป็นตัวขวางโอกาสของเรา ได้แก่

 1. ความกลัว
2. ความคิดด้านลบ
3. ความขี้เกียจ
4. นิสัย
5. ความหยิ่งทะนงตัว

 1.ความกลัว
ไอ้ตัวนี้มันเป็นอุปสรรคอย่างมาก คนส่วนใหญ่ไม่ กล้าที่จะลงทุน หรือไม่กล้าที่จะเพิ่มช่อง asset เพราะ กลัวเสียเงิน หากเรามีความรู้(จริง) ทำไมเราถึงต้องกลัว ด้วย เพราะความรู้ ไหวพริบ มันทำให้เราสามารถบริหาร ความเสี่ยงได้ หากเรา focus ในสิ่งที่เราลงทุน เราย่อม เห็นความเปลี่ยนแปลงของมันได้ทันท่วงที จะทำให้เรา เสี่ยงน้อยลง อย่างนี้ก็เป็นการบริหารความเสี่ยงได้เช่นกัน

2. ความคิดด้านลบ
หากเราต้องการที่จะลงทุน ซึ่งมีข้อมูล และ เราได้ study มากพอควร อย่าไปถามเพื่อน อย่าไปถามพี่น้อง หรือถามคนอื่นๆ เพราะส่วนใหญ่จะได้คำตอบที่เหมือนๆ กัน คือ "ไม่น่าซื้อ" "ไม่น่าลงทุน" "จะดีหรือเปล่า" "แน่ใจแล้วเหรอ" "ทำไปก็เจ๊ง" คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดด้านลบ ไม่สร้างสรรค์ ในเมื่อเรามีข้อมูลมากกว่า แล้วทำไมต้องเชื่อคนที่มีข้อมูล น้อยกว่าเราล่ะ

 3.ความขี้เกียจ
คนส่วนใหญ่อยากรวย แต่ก็ไม่เริ่มลงมือทำอะไร ก็จะ หาข้ออ้างมาอธิบายสาเหตุที่ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ อย่างนี้เรียกว่า ขี้เกียจที่จะรวย
เราต้องสร้างความอยาก สร้างความต้องการ เพื่อให้เป็นตัว motivation ให้เราขนขวาย ทะเยอทะยาน ซึ่งมันอาจจะขัดกับคำสอนในพุทธศาสนา แต่เราต้องยึดความอยากนั้นเพื่อเป็น drive คอยขับเคลื่อนให้เราไปถึงจุดหมายที่ เราวาดฝันไว้

 4. นิสัย
ต้องฝึกนิสัยในการใช้จ่าย โดยต้องจ่ายให้ตัวเองก่อนที่จะจ่ายให้คนอื่น เช่นเจ้าหนี้ การจ่ายให้ตัวเราก่อนหมายถึงการสร้าง asset ของเราให้ทวีคูณยิ่งขึ้น เงินที่ได้ต้องเจียดมาสะสม asset ก่อน ส่วนเจ้าหนี้ต้องรอทีหลัง บางครั้งไม่เหลือพอจ่ายเจ้าหนี้ แต่การที่มีเจ้าหนี้คอยทวงถามหนี้สินจะทำให้เราต้องดิ้นรนมากขึ้น ขยันมากขึ้น

 โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่จะจ่ายหนี้สินก่อน ทีเหลือค่อยมาจ่ายตัวเอง อย่างนี้จะไม่สามารถสร้าง asset ให้ตัวเราได้เลย เพราะเงินที่หามาได้นั้น หลังจากจ่ายเจ้าหนี้ไปแล้ว ก็รูสึกว่าปล่อยระวาง ไม่ขนขวายที่จะหาให้ตัวเอง

 5. ความหยิ่งทะนงตัว
ความทะนงตนว่าเป็นผู้รู้ จะปิดกั้นเราในการขนขวาย หาความรู้เพิ่มเติม โดยมักเตือนตัวเองอย่างผิดๆว่า เรารู้แล้ว....จงทำตัวโง่ เพราะท่านจะได้ความรู้จากคนอื่น ในทางกลับกัน หากทำตัวฉลาด คนอื่นก็ไม่บอกกล่าวเพราะท่านรู้อยู่แล้ว


Resource : www.richerstock.net