ศักยภาพของสมองระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย

ศักยภาพของสมองระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย

ธรรมชาติได้ออกแบบชีวิตมนุษย์เพศ ชายและเพศหญิงให้แตกต่างกัน มิใช่แค่เพียงรูปลักษณ์ของร่าง กายเท่านั้น หากยังแตกต่างในทางความคิด และพฤติกรรมการแสดงออก(behavior) เพศชายมักมีแนวโน้มการแสดงออกไปในทางที่ก้าวร้าว ชอบเล่นซุกซน ผาดโผน และชอบการต่อสู้ ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าเพศหญิง จึงไม่แปลกใจที่พบว่าอาชญากรที่ก่อปัญหาความรุนแรงในสังคมนั้นส่วน ใหญ่เป็นเพศชาย ด้วยเหตุที่เพศหญิงมีสรีระที่บอบบางกว่าผู้ชาย อีกทั้งมีอุปนิสัยที่อ่อนโยน นุ่มนวล จึงเหมาะต่อการทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ดูแลปรนนิบัติสามีและลูก ขณะที่ผู้ชาย ซึ่งมีเรือนร่างกำยำ สูงและแข็งแรงกว่า จึงมีบทบาททางสังคมที่แตกต่างกับผู้หญิง โดยเหมาะที่จะผู้นำหาเลี้ยงครอบครัว แม้ว่าปัจจุบันเพศหญิงจะ ประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองมากขึ้น ประกอบกับสังคมให้การยอมรับว่าเพศหญิงและเพศชายมีศักยภาพไม่แตกต่างกัน แต่ก็พบว่าอาชีพบางอาชีพก็มีข้อจำกัดทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น อาชีพการเป็นทหาร ตำรวจ ยามรักษาความปลอดภัย นักบิน และวิศวกร เพศ ชายมักได้รับการคัดเลือกมากกว่าเพศหญิง ในขณะที่อาชีพพยาบาล ครู คนเลี้ยงดูเด็ก เพศหญิงมักได้รับการคัดเลือกมากกว่าเพศชาย

ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย

การที่ผู้ชายและผู้หญิงมีความแตก ต่างกัน ทั้งด้านสรีระร่างกาย ความคิดและพฤติกรรมการแสดงออก เป็นผลจากฮอร์โมนเพศ ในช่วงต้นของชีวิต (ทั้งก่อนคลอดและหลังคลอด) โดยทารกเพศชายจะเพิ่มระดับการสร้างฮอร์โมน testosterone มากขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 8-24 ก่อนคลอด และในช่วงสัปดาห์ที่ 2-26 ภายหลังคลอด ซึ่งมีผลทำให้ผู้ชายและผู้หญิงมีพฤติกรรมการแสดงออกที่แตกต่างกัน พฤติกรรมการแสดงออกระหว่างเด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิงจะเริ่มแตก ต่างกันเข้าสู่เดือนที่ 12 เด็กผู้ชายจะมีความก้าวร้าว ซุกซน ชอบของเล่นที่เคลื่อนไหวได้ เช่น รถ เครื่องบิน ปืน ชอบการต่อสู้และการปะทะกัน ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงจะชอบมองพฤติกรรมของแม่ ชอบเล่นตุ๊กตา ประมาณ 80-90% เด็กจะ ชอบเล่นกับเพื่อนที่เป็นเพศเดียวกัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่กำเนิด

เมื่อ พิจารณาถึงโครงสร้างของสมองระหว่างผู้ชายและผู้หญิง จะพบว่า มีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศในช่วงตอนต้นของชีวิต สมองของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ซีก สมองแต่ละ ซีกจะควบคุมการทำงานของร่างกายฝั่งตรงกันข้าม เช่น สมองซีกซ้ายจะควบคุมร่างกายด้านขวา ส่วนสมองซีกขวาจะควบคุม ร่างกายด้านซ้าย สมองทั้ง 2 ซีกจะมีขนาดไม่เท่ากันหรือมีความอสมมาตร ธรรมชาติสร้างให้สมองซีกซ้ายมักเด่นกว่าซีกขวา ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงถนัดในการใช้มือขวามากกว่ามือซ้าย แต่ก็มีส่วนน้อยที่ถนัดมือซ้าย มากกว่ามือขวา โดยมากพบในเพศชายมากกว่าเพศ สมอง ของผู้ชายจะมีขนาดโต น้ำหนักมาก และอสมมาตรมากกว่าสมองของผู้หญิง ขณะที่สมองของผู้หญิงจะมีเซลล์ประสาทมากกว่าเพศชาย และถ้าหากสมองซีกใดซีกหนึ่งมีความเสียหาย ผู้ชายจะได้รับผลกระทบมากกว่าเพศหญิง

ตัวอย่าง ความแตกต่างของโครงสร้างและพัฒนาการสมองระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ได้แก่

พัฒนาการของสมอง 2 ซีก พบว่า ทารกเพศชาย สมองซีกขวาจะมีพัฒนาการก่อนสมองซีกซ้าย ซึ่งแตกต่างจากทารกเพศหญิงที่สมองซีกซ้าย จะมีพัฒนาการก่อนสมองซีกขวา

สมองซีกซ้ายเป็นสมองที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ ความเข้าใจภาษา การพูด ส่วนสมองซีกขวาเกี่ยวข้องกับตำแหน่ง สถานที่และทิศทาง ด้วยเหตุนี่เองผู้ชาย จึงมีความสามารถในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทิศทาง ระยะทาง ขนาดรูปร่าง และตำแหน่งมากกว่าผู้หญิง

ผู้ชายจะสามารถหมุนมโนภาพจากภาพที่เห็นให้เป็น 3 มิติได้ ส่วนผู้หญิงจะมองเห็นภาพในมุมมองที่กว้างกว่า สามารถจดจำและเก็บรายละเอียด ของภาพได้ดีกว่า จึงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีกว่าผู้ชาย

ผู้ชายจะมี Hypothalamus ส่วนหน้าใหญ่กว่าผู้หญิง เนื่องจากสมองส่วนนี้จะเชื่อมอยู่กับต่อมพิทูอิทารี ซึ่งเป็นต่อมที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนหลายชนิด ในร่างกาย ทำให้เพศชายและเพศหญิงมีสรีระร่างกายแตกต่างกัน สำหรับเพศชายที่มีจิตใจคล้ายผู้หญิง จะพบว่าสมองส่วนนี้จะมีขนาดเล็กกว่า สมองของผู้ชายปกติ

ผู้หญิงจะมีสมอง ส่วนหน้า (frontal lobe) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิด ที่มีความจุมากกว่าผู้ชาย และผู้หญิงมักใช้สมองส่วนนี้กระตุ้นระบบ limbic ซึ่งเป็นสมองซึ่งทำ งานเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ขณะที่ผู้ชายมักใช้ก้านสมอง (brain stem) ซึ่งเป็นสมองเพื่อความอยู่รอด กระตุ้นระบบ limbic

นอกจากนี้ที่บริเวณเปลือกสมองของ ผู้หญิงจะมีเซลล์ประสาทมากกว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงเป็นคนช่างคิด และ มักจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมากกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุนี้จึงพบว่า สมองของผู้หญิงจะใช้พลังงานกลูโคสสูงกว่าผู้ชาย

ผู้หญิงจะมีสมอง Temporal lobe ค่อนข้างใหญ่กว่า ผู้ชาย ผู้หญิงจึงมีทักษะการฟัง ความเข้าใจภาษา รวมถึงการพูดดีกว่าผู้ชาย

ผู้หญิงจะมีสมอง Hippocampus ซึ่งทำหน้าที่เก็บความจำต่อเหตุการณ์ ที่มีขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย ดังนั้น ผู้หญิงจึงจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้มากกว่าและสามารถระลึกถึง เหตุการณ์เก่าๆ ที่สะเทือนจิตใจได้ดีกว่าผู้ชาย โดยผู้ชายมักจะเก็บความทรงจำในภาพรวมหรือเหตุการณ์สำคัญๆ ในขณะที่ผู้หญิงมักจะจดจำรายละเอียดของเหตุการณ์และอารมณ์ความ รู้สึกในขณะนั้น

ผู้ชายจะมีสมองพูข้าง (parietal lobe) และ amygdala ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ตอบสนองต่อความกลัว ที่มีขนาดใหญ่กว่าผู้หญิง ผู้ชายจึงใช้สมองซีกขวากระตุ้นทางส่วนขวาของ amygdala ขณะที่ผู้หญิงจะใช้สมองซีกซ้ายกระตุ้นทางส่วนซ้ายของ amygdala ผู้ชายจะแก้ปัญหา เฉพาะหน้าหรือความเครียดในช่วงสั้นๆ ได้ดีกว่าผู้หญิง เนื่องจากเส้นใยประสาทรับความรู้สึกสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ แต่ในผู้หญิงเส้นใยประสาทกลับลดประสิทธิภาพลง

ในภาวะปกติ สมองผู้หญิงจะหลั่ง serotonin มากกว่าผู้ชาย serotonin เป็นสารที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์ ยับยั้งความก้าวร้าว ดังนั้นในภาวะปกติผู้ชาย จึงใจร้อนและหงุดหงิดได้ง่ายกว่าผู้หญิง แต่ในภาวะเครียด สมองผู้หญิงจะหลั่ง serotonin ลดลง ในขณะที่สมองผู้ชายไม่มีการลดลง จึงทำให้ ภาวะเครียด ผู้หญิง มักควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ใจร้อน และวิตกกังวลง่ายกว่าผู้ชาย

เมื่อต้องเผชิญ ความเครียดระยะยาว พบว่า เซลล์ประสาทที่ hippocampus ในสมองผู้ชายจะถูกทำลาย แต่ลักษณะเช่นนี้จะไม่เกิดกับสมองผู้หญิง นักวิทยาศาสตร์ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น สันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศ ทำให้ผู้หญิงมีความอดทนต่อปัญหา หรือความเครียดระยะยาวได้ดีกว่าผู้ชาย

เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนของสมอง orbitofrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ กับ amygdala หรือค่า orbitofrontal cortex to amygdala ; OAR) พบว่า ผู้หญิงจะมี OAR สูงกว่าผู้ชาย สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาทางจิต ค่า OAR จะลดลง ขณะที่ผู้ชายที่มีปัญหาทางจิตค่า OAR จะสูงกว่า ผู้ชายปกติ

ผู้หญิงจะมี Corpus callosum ที่มีขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย Corpus callosum เป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างสมอง 2 ซีก ผู้หญิงจึงใช้สมองทั้ง 2 ซีก ประสานการ ทำงาน ในการทำความเข้าใจภาษาและการพูด ดังนั้นหากสมองซีกใดซีกหนึ่งได้รับความเสียหายจะส่งผลกระทบน้อยมากในผู้หญิง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรค incur aphasia ซึ่งทำให้พูดไม่ได้ มักพบในผู้ชายที่สมองส่วนหลัง รวมทั้งสมองซีกซ้ายได้รับความเสียหาย ส่วนผู้หญิงจะพบก็ต่อเมื่อสมองส่วนหน้า ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ผู้ชายที่สมองซีกซ้าย ส่วนหลังเสียหาย จะยิ่งทำให้เป็นโรค apraxia โดยร่างกายจะไม่สามารถ ควบคุมการเคลื่อนไหว ของมือได้

อย่างไร ก็ตามการที่คนเรามีความคิดและพฤติกรรมการแสดงออกที่แตกต่างกัน มิใช่เป็นผลมาจากความแตกต่างระหว่างเพศ ที่ทำให้สมองมีศักยภาพ แตกต่างกันแต่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหลายอย่าง อาทิ พันธุกรรม การอบรมเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม อายุ เป็นต้น ดังนั้นหาก มนุษย์มีความเข้าใจและยอมรับแตกต่า


อาจารย์ธิรดา สุวัณณะศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษา & Holistic Medicine