กลยุทธ์การเก็งกำไร

The Zurich Axioms กลยุทธ์การเก็งกำไร

ประเด็นหนึ่งที่นักเล่นหุ้นทั้งหลายสับสนกับชีวิต ว่าควรจะเป็นนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไรดี เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ เพราะ “เมื่อซื้อหุ้นอยากลงทุน แต่พอหุ้นขึ้นแรง กลับขาย เพราะอยากเก็งกำไร” “แต่เมื่อซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร หวังให้หุ้นขึ้น แต่พอหุ้นตกกลับบอกขอถือเพื่อเป็นการลงทุน” แต่สำหรับตัวผม แล้วมองทุกอย่าง ก็คือ การเก็งกำไร หากคุณอยากที่จะขายเพื่อทำกำไรจากสิ่งนั้นๆ ยกเว้นเสียแต่ ผู้ที่ซื้อหุ้นเพื่อสะสม หรือเก็บไว้เพื่อรับปันผล ดังเช่น วอเรนต์บัฟเฟต หรือ ผู้ที่ชอบซื้อสิ่งของที่มีค่าสะสม เช่น รูปภาพ, แสตมป์ หรือของ โบราณ เพื่อขายในราคาที่สูงจนเกินความพอใจ มากๆ (โดยที่ไม่ขายก็ไม่เดือดร้อน เพราะชอบและรัก กับของสะสมนั้นๆอยู่แล้ว) จึงจะเรียกว่า นักลงทุน

ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องรู้คือ รู้จักตัวเอง ก่อนที่จะรู้จัก สิ่งอื่นๆ เพราะ หากเรารู้จักตัวเองดีพอ ก็จะสามารถ กำหนดกลยุทธ์การลงทุน หรือการวางแผน ให้ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นผมจึงรวบรวมข้อคิดที่ จะมาบอกกล่าว ในรูป กลยุทธ์ การเก็งกำไรกัน ซึ่งบทความนี้อาจจะมีบางส่วนที่อ้างอิง จากหนังสือ เรื่อง “The Zurich Axioms”

บทนำกลยุทธ์การเก็งกำไร

“ในตลาดการลงทุนส่วนใหญ่มักมองว่า การเก็งกำไรเป็นเรื่องเลวร้าย ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนโดยสิ้นเชิง แต่ความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนต่างหาก ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการกำไร จากการลงทุน เพียงมองแต่ว่า การใช้ระยะเวลา หรือผลประโยชน์ระยะสั้น ก็จะมองเพียงเป็นการเก็งกำไร แต่การร่วมลงทุนในระยะยาวถือเป็นการลงทุน แต่แท้ที่จริงทุกคนต่างมองถึงผลประโยชน์ ซึ่งปรับแต่งคำพูดให้สวยงามว่าเราต่างเป็นนักลงทุน”

โดยธรรมชาติแล้วกิจกรรมการเงินอะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดกำไรมักจะเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ไม่ว่าผู้เกี่ยวข้องจะเป็นนักเสี่ยงโชคหรือไม่ก็ตาม วิธีเดียวที่ทำให้ความเสี่ยงใกล้ศูนย์คือการฝากเงินกับธนาคารหรือนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล แต่ผลตอบแทนก็ย่อมต่ำไปด้วย ด้วยเหตุนี้บรรดานักลงทุนที่กระตือรือร้นต่างพยายามขวนขวายหาการลงทุนแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงกว่า แต่ที่แปลกคือทุกคนต่างไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังเก็งกำไร กำลังเสี่ยงเงินของตนหรือกำลังเล่นการพนัน หากแต่แสร้งทำเป็นว่าตนเองมีความฉลาดรอบคอบและเรียกกิจกรรมที่ตนเองประกอบอยู่ว่า “การลงทุน”

ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนและนักเก็งกำไรฟังดูไม่ต่างกันนัก เพราะการลงทุนทุกชนิดคือการเก็งกำไร แตกต่างกันแต่เพียงว่าบางคนยอมรับในขณะที่บางคนไม่ยอมรับ ไม่ว่าคุณจะเรียกกิจกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ว่าเป็นการลงทุนหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็ยังหนีความจริงไม่พ้น เพราะการพนันก็ยังคงเป็นการพนันวันยังค่ำ เพราะฉะนั้นการลงทุนทุกชนิดคือการเสี่ยงโชค เพราะคุณต้องเลือกวางเงินของคุณไว้ข้างหน้าว่าจะแทงกองไหน ไม่ว่าคุณจะเลือกหุ้นอะไรก็ตาม ยอมรับเสียเถอะว่านั้นคือการเสี่ยงโชค ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมาหลอกตัวเอง

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ เจสซี่ ลิเวอร์โมร์ กล่าวว่า

ความเสี่ยงอาจมีผลทางบวกหรือลบ เพราะ เราอาจจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่แทนที่จะได้รับผลตอบแทน แต่อย่างไรก็ดีถ้าเราจนลงเพราะการเสี่ยงโชคแล้ว มันก็ยังดีกว่า การที่จนลงเพราะอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือ?

“ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร คุณจะต้องเผชิญกับสิ่งที่หวานและขมเสมอ ถ้าคุณเลี้ยงผึ้ง คุณก็ย่อมถูกผึ้งต่อย แต่สำหรับผม ผมก็มีความกังวลอยู่เสมอ ถ้าใครไม่มีความกังวลแล้ว เขาผู้นั้นคงยากจนต่อไป

ข้อ 1. เรื่องของความเสี่ยง

ความวิตกกังวลไม่ใช่ความเจ็บป่วย หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความสุขสมบูรณ์ ถ้าหากว่าคุณยังไม่มีความวิตกกังวลแล้ว แสดงว่าคุณยังไม่ได้เผชิญกับความเสี่ยงที่มากพอ
1.1 จงเล่นเพื่อผลลัพธ์ที่มีคุณค่าพอเท่านั้น
1.2 จงหลีกเลี่ยงการกระจายความเสี่ยง
การกระจายความเสี่ยงมีข้อเสียใหญ่ๆ ด้วยกันสามประการคือ
การกระจายความเสี่ยงขัดกับหลักรองข้อ1 ซี่งกล่าวว่าคุณควรเล่นเพื่อผลลัพธ์ที่มีคุณค่าพอเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองถ้าหากคุณตั้งต้นด้วยเงินทุนที่น้อยแล้ว การกระจายความเสี่ยงก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมอีก
การกระจายความเสี่ยงทำให้ผลกำไรและขาดทุนของหลักทรัพย์แต่ละตัวลบล้างกันไป ผลก็คือคุณจบลงที่จุดตั้งต้น
การกระจายความเสี่ยงทำให้คุณกลายเป็นนักเล่นกลที่พยายามโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศมากลูกเกินไปในเวลาเดียวกัน หากคุณมีลูกบอลถึงหนี่งโหลลอยอยู่ในอากาศพร้อมกัน โดยที่ครึ่งหนึ่งทำท่าว่าจะวิ่งเฉไปทางอื่นแล้ว โอกาสที่คุณจะแก้ไขสถานการณ์คงเป็นไปได้ยาก และอาจพลอยทำให้บอลที่เหลือตกพื้นไปหมดด้วย

ข้อ 2. เรื่องของความโลภ

“จงฉวยกำไรโดยเร็วที่สุด ทำไมถึงต้อง “เร็วที่สุด” ด้วย? เพราะคุณควรจะหยุดเล่นและเก็บเงินเข้ากระเป๋าก่อนที่โชคของคุณจะหมดไปซิ จงอย่าพยายามเล่นจนเฮือกสุดท้าย เพราะโอกาสที่คุณจะเป็นผู้ชนะจนถึงจุดนั้นคงเป็นไปได้น้อยมาก จงอย่ากังวลว่าโชคของคุณจะยังคงดีติดต่อกันอีกนานหรือไม่ เพราะคุณไม่มีโอกาสที่จะทราบว่าโชคครั้งสุดท้ายของคุณในวันนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร ขอให้เอากำไรใส่กระเป๋าและเลิกเล่นจะดีกว่า”
2.1 จงตัดสินใจก่อนว่าคุณต้องการทำกำไร และจงเลิกเล่นทันทีที่คุณทำได้ตามเป้านั้น
ในโลกแห่งการพนันหรือการเสี่ยงโชคนั้น คุณไม่สามารถมองหาจุดหมายปลายทางได้ คุณจะต้องเป็นผู้กำหนดจุดหมายปลายทางของคุณเองเท่านั้น จริงอยู่มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนส่วนใหญ่ และหลายคนได้มองข้ามจุดนี้ไปโดยสิ้นเชิง แต่คุณจำเป็นต้องฝึกหัดตนเองเอาไว้ เพราะมันคือเครื่องมือที่จำเป็นอย่างหนึ่งในการเก็งกำไรของคุณ ขอให้คุณปลูกฝังนิสัยนี้เอาไว้ และทันทีที่คุณบรรลุถึงเป้าหมาย ขอให้คุณเลิกเล่นทันที เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งต้องเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นและทำให้คุณมั่นใจว่าคุณจะยังคงเป็นผู้ชนะไปอีกระยะ จึงจะยังไม่เลิกเล่น

ข้อ 3. เรื่องของความหวัง

ถ้าเรือกำลังจะล่ม อย่ามัวแต่สวดภาวนา ให้กระโดดลงน้ำทันที
การรู้จักหลบเลี่ยงจากเหตุการณ์ที่เลวร้าย ถือเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะฝีกสอนกันได้ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ มันเป็นเรื่องที่ทำให้คนๆหนึ่งแตกต่างจากคนที่เหลือ บางคนถึงกับกล่าวว่าการรู้จักทางหนีทีไล่เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของนักเก็งกำไร หรือนักการพนัน
การที่นักเก็งกำไรไม่รู้จักกระโดดออกจากเรือที่กำลังจะจมโดยเร็วเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้พวกเขาเสียเงินมากกว่าเหตุผลอื่นและเป็นเหตุผลที่ได้ทำให้นักเก็งกำไรน้ำตาตกกันมามากต่อมากแล้ว ขอให้สังเกตคำพูดให้ดีว่า “เรือกำลังจะจม” จงอย่ารีรอเรือจมไปแล้วครึ่งลำจึงค่อยกระโดดหนี
การตัดสินใจที่จะกระโดดออกจากเรือนั้นจะมีอุปสรรคอยู่ด้วยกัน 3 ประการ

อุปสรรคข้อแรก คือ ความกลัวว่าจะผิดหวัง กลัวว่าหุ้นที่คุณขายทิ้งจะมีราคาสูงขึ้นอีก และทำให้คุณพลาดโอกาสทองไป
อุปสรรคข้อสอง คือ คุณจะขาดทุนทุกครั้งที่คุณใช้หลักใหญ่ข้อ 3 หลายคนจะรู้สึกเจ็บใจต่อการขาดทุน แต่อย่างไรก็ตามคุณจะเจ็บใจน้อยลงเมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริง
อุปสรรคข้อสาม คือ มนุษย์เรามักปากแข็งและไม่ยอมรับว่าตนเองทำผิด เพราะฉะนั้นคุณจะต้องยอมรับให้ได้เสียก่อนว่าคุณได้ทำผิดหรือคาดการณ์ผิดไปแล้ว ในกรณีที่คุณพลาดจริงๆ
3.1 จงถือว่าการสูญเสียเล็กๆน้อยๆ เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตและจงเตรียมพร้อมกับการสูญเสียเล็กน้อยหลายๆครั้ง ก่อนที่จะทำกำไรได้อย่างมหาศาลในวันข้างหน้า
โดยความเป็นจริงแล้ว คุณควรจะยินดีกับการสูญเสียเล็กๆน้อยๆบ้าง เพราะมันจะช่วยป้องกันมิให้คุณสูญเสียเงินก้อนใหญ่ในภายหลัง จงฝึกนิสัยการรู้จักสูญเสียเล็กๆน้อยๆเอาไว้ ถ้าหากลงทุนในหลักทรัพย์ชนิดหนึ่งไม่สัมฤทธิ์ผลแล้ว ก็ขอให้ลองกับหลักทรัพย์ชนิดใหม่ จงอย่าได้นั่งอยู่เฉยๆในเรือที่กำลังจะจมน้ำเพราะคุณจะพาลจมน้ำไปพร้อมกับเรือด้วย ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจหลักนี้ย่อมเป็นนักเสี่ยงโชคที่ดีไม่ได้

ข้อ 4. เรื่องของการพยากรณ์

“คุณไม่สามารถทำนายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ ดังนั้นจงอย่าหลงเชื่อใครก็ตามที่อ้างว่ามองเห็นอนาคต”
เพราะไม่มีใครที่สามารถทำนายอนาคตได้ ไม่ว่าอนาคตนั้นจะใกล้เพียงหนึ่งวันหรือไกลเป็นปีสองปีก็ตาม ดังนั้นถ้าหากคุณต้องการจะประสบความสำเร็จในการลงทุนแล้ว ขอให้คุณเลิกฟังคำทำนายทั้งหมด และที่สำคัญที่สุด คือ อย่าขอคำแนะนำจากนักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ตลาด หรือนักการเมืองหน้าใดทั้งนั้น เพราะตลาดหุ้นคือที่รวมความรู้สึกของมนุษย์จำนวนมาก ราคาของหุ้นจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มนุษย์คิด ทำและรู้สึก ราคาหุ้นของบริษัทหนึ่งๆไม่ได้ขยับสูงขึ้นเนื่องจากตัวเลขในงบการเงินเปลี่ยน หากแต่เกิดจากการที่มนุษย์คิดว่าอนาคตของบริษัทจะดีขึ้นต่างหาก

ข้อ 5. เรื่องของความมีระเบียบ

“ความสับสนไม่ใช่เรื่องอันตราย แต่ถ้าเมื่อใดมันกลายเป็นความมีระเบียบแล้ว ก็ขอให้ระวังให้ดี”

ทุกคนต้องการได้สูตรหาเงินทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสูตรราคาหุ้น ราคาทอง ฯลฯ แต่น่าเสียดายที่ว่าในโลกนี้ไม่มีสูตรที่ถูกต้อง สาเหตุก็เพราะว่าโลกแห่งการเงินเป็นโลกที่ไม่มีระเบียบและเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย จริงอยู่ความมีระเบียบ อาจปรากฎให้เห็นเป็นครั้งคราวบ้างเหมือนกับความมีระเบียบของก้อนเมฆบนท้องฟ้า แต่นั่นก็เป็นปรากฏการณ์ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ดังนั้นการอิงแผนงานสำคัญกับปรากฏการณ์ชั่วคราวจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างมาก ความมีระเบียบเป็นภาพลวงตา ซึ่งสามารถหลอกคนมานับไม่ถ้วนแล้ว แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ฉลาดจริงๆพวกเขาจะไม่ในใจความมีระเบียบหรือสูตรสำเร็จทั้งหลาย
5.1 “จงระวังกับดักจากประวัติศาสตร์”
กับดักจากประวัติศาสตร์ คือภาพลวงตาแบบหนึ่งที่เกิดจากความเชื่อเก่าๆที่ว่าประวัติศาสตร์มักจะเกิดซ้ำรอยเดิม ผู้ที่มีความเชื่อดังกล่าว (ซึ่งมีกว่า 99 % ของมนุษย์ในโลกนี้) ย่อมเชื่อว่าการที่ประวัติศาสตร์เกิดการซ้ำรอยทำให้การพยากรณ์อย่างแม่นยำเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่จงอย่าหลงเชื่อกับดักนี้เด็ดขาด ถึงแม้ว่าบางครั้งประวัติศาสตร์อาจจะเกิดซ้ำรอยเดิม แต่โดยปกติทั่วไปแล้วมันจะไม่เป็นเช่นนั้น และถึงแม้ว่ามันจะเกิดซ้ำรอยจริง แต่คุณก็จะไม่มีวันพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำว่าเมื่อไรมันจะเกิดขึ้นอีก

5.2 “จงระวังภาพลวงตาจากแผนภูมิ”
การใช้กราฟแทนตัวเลขมีทั้งประโยชน์และโทษ ประโยชน์คือกราฟช่วยให้คุณมองเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าตัวเลขเป็นกองภูเขา แต่กราฟก็มีโทษตรงที่ว่า มันทำให้แนวโน้มมีความน่าเชื่อกว่าความเป็นจริง ภาพลวงตาบนแผนภูมิถือเป็นกับดักทางประวัติศาสตร์ชนิดหนึ่ง เพราะแผนภูมิที่คุณพิจารณาอยู่อาจจะเป็นภาพเพียงส่วนเดียวก็ได้ ในขณะที่ส่วนที่ขาดไปเป็นข้อเท็จที่คุณได้ละเลยมันไป

5.3 “จงระวังภาพลวงตาจากความสัมพันธ์ชนิดเหตุผล”
สมองของมนุษย์คืออวัยวะที่พยายามแสวงหาความมีระเบียบ เพราะคนเราจะไม่มีความสุขถ้าหากสมองเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง เพราะฉะนั้นถ้าหากมีเหตุการณ์มากกว่าหนึ่งชนิดเกิดขึ้นใกล้เคียงกันแล้ว เรามักจะหาทางเชื่อมเหตุการณ์ทั้งสองให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อขจัดความสับสนในการจดจำหรืออธิบาย การกระทำเช่นนี้อาจทำให้เราได้รับโทษมากกว่าคุณ แต่เราจะไม่คิดเช่นนั้นจนกระทั่งทุกอย่างสายเกินแก้แล้ว

5.4 “จงระวังกับดักของนักการพนัน”
กับดักของนักการพนันก็เป็นภาพลวงตาของความมีระเบียบอีกแบบหนึ่ง ในกรณีนี้ความเป็นระเบียบมิได้อยู่ในเหตุการณ์รอบตัว หากแต่อยู่ในตัวผู้พูดเอง ทุกครั้งที่คุณพูดว่าคุณกำลัง “ดวงดี” หรือรู้สึกว่า “วันนี้คือวันโชคดีของคุณ” นั่นก็หมายความว่าคุณกำลังปล่อยให้เหตุการณ์แบบสุ่มมีอิทธิพลเหนือความคิดอ่านของคุณ ในโลกแห่งความสับสนนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างกำลังผันแปรรอบตัวคุณทุกทิศทุกทาง คุณน่าจะทำตนให้เป็นหุ่นรูปปั้นที่สงบ ไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วคุณก็จะควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างให้สยบแทบเท้าคุณได้

ข้อ 6. เรื่องของการเคลื่อนย้าย

“จงอย่า งอกรากเพราะมันเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้าย”
ทฤษฎีทางจิตวิทยากล่าวไว้ว่า การไร้ที่พึ่ง (หรือไม่มีรากให้ยึดเกาะ) จัดเป็นสิ่งเดียวกับความกังวล เศร้าโศก และต่างมีผลร้ายต่อสุขภาพจิตทั้งนั้น การไม่รากให้ยึดเกาะก็ไม่ต่างกับการถูกทอดทิ้งให้ลอยล่องอย่างไร้จุดหมาย เพราะเหตุนี้เอง คนหลายคนจึงคิดว่าการมีรากให้ยึดเกาะจึงเป็นเรื่องดีงาม
แต่คุณจะต้องระมัดระวังเรื่องของรากในทางธุรกิจให้ดี การมีรากงอกในทางธุรกิจย่อมเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจทางการเงินอย่างมากและอาจทำให้คุณสูญเสียเงินจำนวนมากๆด้วย ยิ่งคุณอยากเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่มากเท่าไร โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จในฐานะนักลงทุนก็มีน้อยลงเพียงนั้น
6.1 “จงอย่าติดกับดักของการลงทุนที่ไร้อนาคต เพราะสาเหตุจากความผูกพันและเสียดาย”
บางครั้งคุณก็ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างเงินและราก ถ้าหากคุณสนใจเงิน (ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้น) คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ตนเองมีความผูกพันกับอะไรก็ตามที่คุณใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และจงอย่าผูกพันกับหุ้นบริษัทด้วย เพราะถ้าคุณผูกพันกับมันคุณจะไม่มีวันทราบล่วงหน้าว่าเมื่อไรจึงควรขาย เพราะฉะนั้นจงอย่าปล่อยให้รากมาเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจของคุณ
6.2 “ถ้ามีการลงทุนใหม่ที่น่าสนใจกว่า ก็ขอให้ลืมของเก่าเสีย”
จงอย่าผูกพันกับสิ่งของ แต่ให้ผูกพันกับคนก็พอแล้ว เพราะการที่คุณมีความผูกพันกับสิ่งของจะทำให้ความสามารถในการเคลื่อนย้ายถ่ายเททรัพย์สินลดลงอย่างมาก อย่าลืมว่าถ้าหากคุณมีโอกาสดีเมื่อไร คุณจะต้องตัดสินใจกระทำโดยเร็ว ถ้าหากคุณมีรากงอกแล้ว ประสิทธิภาพของความเป็นนักเก็งกำไรของคุณก็จะลดลงไปด้วย

ข้อ 7. เรื่องของลางสังหรณ์

“จงเชื่อลางสังหรณ์ ถ้าหากมันมีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ”
ถ้าหากคุณเกิดลางสังหรณ์ สิ่งแรกที่คุณควรทำก็คือ ถามตนเองก่อนว่า ในสมองของคุณมีข้อมูลพอที่จะสร้างลางสังหรณ์หรือเปล่า ถึงแม้ว่าคุณอาจไม่ทราบคำตอบหรือไม่ทราบแน่นอนวาเป็นข้อมูลประเภทไหน ก็ให้ถามตนเองดูให้ชัดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่ข้อมูลดังกล่าวมีตัวตนอยู่? เหตุผลที่คุณจำเป็นต้องทดสอบลางสังหรณ์ก็เพราะ ในบางครั้งคุณอาจมีลางสังหรณ์ผลุบขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานของข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งลางสังหรณ์ประเภทนี้ก็คงไม่ต่างจากความฝันลมๆแล้งๆเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจอะไรก็ตาม ขอให้อย่าลืมหลักการข้ออื่นๆด้วย ไม่ว่าคุณจะมีลางสังหรณ์ที่ดีขนาดไหนก็ตาม จงอย่ามีความเชื่อมั่นตัวเองมากจนเกินไป จงกังวลเหมือนเดิม ลางสังหรณ์ถือเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการเก็งกำไร แต่มันก็ไม่ใช่สูตรที่ประกันความถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะ “สูตรสำเร็จในการทำกำไร ไม่มีในโลก”
7.1 “จงอย่าสับสนระหว่างลางสังหรณ์กับความหวัง”
ทุกครั้งที่เกิดลางสังหรณ์ในสิ่งที่คุณต้องการให้เกิดแล้ว คุณควรสงสัยลางสังหรณ์นั้นเสียก่อน นั่นมิได้หมายความว่าลางสังหรณ์เช่นนี้จะผิดทุกครั้งไป แต่คุณควรใช้วิจารณญาณตรึกตรองให้รอบคอบมากกว่าปกติก่อนที่จะสรุปอะไรลงไป ในทางตรงกันข้าม คุณควรจะเชื่อลางสังหรณ์ที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณต้องการ มากกว่าลางสังหรณ์ที่คุณต้องให้เกิด

ข้อ 8. เรื่องของศาสนาและความลี้ลับ

“พระเจ้าคงไม่มีแผนที่จะทำให้คุณรวย รวมอยู่ในแผนการสร้างจักรวาลอย่างแน่นอน”
คุณไม่สามารถสวดมนต์ให้ตนเองร่ำรวยได้ และถ้าหากมีเรื่องเงินอยู่ในตอนสวดมนต์ภาวนาด้วยแล้ว โอกาสที่คุณจะสวดมนต์จนตนเองยากจนลงดูเหมือนจะมีมากกว่า จงอย่าบนบานพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการบันดาลให้คุณร่ำรวย เพราะคุณอาจยากจนลงกว่าเดิมก็ได้ เพราะฉะนั้นจงอย่าได้ไหว้วานให้พระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้คุณร่ำรวยเลย เพราะการกระทำเช่นนี้จะไม่มีส่วนช่วยการเก็งกำไรของคุณแต่อย่างใด
8.1 “ถ้าโหราศาสตร์ใช้ได้จริง หมอดูทุกคนก็คงรวยไปนานแล้ว”
หลักรองข้อนี้กล่าวว่าถ้าโหราศาสตร์ใช้ได้จริง หมอดูทุกคนก็คงรวยไปนานแล้ว หรือพวกที่เชื่อไพ่หมอดูทุกคนก็คงรวยหมดแล้ว คนเราทุกคนมีสิทธิ์โชคดีได้ครั้งหรือสองครั้งเสมอ ดังนั้นคำพยากรณ์บางครั้งอาจถูกได้ แต่ไม่เสมอไป ซึ่งถ้าต้องการพิสูจน์ให้ถ่องแท้ว่าไพ่หมอดูหรืออะไรทำนองนี้ว่าทำเงินได้จริงหรือเปล่า ก็ขอให้ดูจากความสม่ำเสมอในการทำนายได้ถูกต้อง
8.2 “จงอย่าเชื่อถืออำนาจลี้ลับ แต่จงสนุกกับมันเป็นครั้งเป็นคราวและให้จังหวะที่เหมาะสม”
โอกาสที่คุณจะใช้ความเชื่อถือในอำนาจลี้ลับให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารเงินทองของคุณก็มีเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีโอกาสหนึ่งและคุณสามารถหาจังหวะได้ไม่ยากนัก แต่ขอเน้นว่ามีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น เพราะโอกาสอื่นยอมนำคุณสู่หายนะไม่ช้าก็เร็ว และโอกาสที่ว่านี้ก็คือโอกาสที่คุณไม่มีทางใช้เหตุผลในการตัดสินใจ ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังก็คืออย่าให้ความเชื่อเหล่านี้มีอิทธิพลต่อคุณมากเกินไป ให้มีเพียงเล็กน้อยก็พอ

ข้อ 9. เรื่องของทัศนคติมองโลก

“การมองโลกในแง่ดีคือ ความหวังที่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดบังเกิดขึ้น ในขณะที่ความมั่นใจคือ ความรู้ตัวว่าจะสามารถรับกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ จงอย่าตัดสินใจโดยอาศัยการมองโลกในแง่ดีแต่เพียงอย่างเดียว”
หลักการข้อนี้กล่าวว่า คุณไม่ควรตัดสินใจโดยอาศัยทัศนคติมองโลกในแง่ดีเท่านั้น ก่อนที่คุณจะลงทุนขอให้ถามตนเอง ก่อนว่าทางออกของคุณคืออะไรถ้าหากทุกอย่างผิดพลาด และเมื่อใดก็ตามที่คุณทราบคำตอบนี้ล่วงหน้า คุณจะมีอะไรบางอย่างที่ดีกว่าการมองโลกในแง่ดี หรือเหนือกว่าคนทั่วไปมาก นั่นคือ ความมั่นใจในตนเอง

ข้อ 10. เรื่องของเสียงส่วนใหญ่

“จงอย่าฟังเสียงส่วนใหญ่ เพราะมันอาจจะผิดก็ได้”
เคล็ดลับแห่งความสำเร็จของหลักการนี้คือ จงอย่าเชื่อเรื่องที่คนอื่นเล่าให้ฟัง จนกว่าคุณจะได้มีโอกาสคิดเองให้รอบคอบเสียก่อน จริงอยู่ที่คนส่วนใหญ่อาจจะถูก แต่โอกาสดังกล่าวก็เป็นไปได้น้อย ขอให้คุณอย่าเชื่อคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ โดยไม่มีการวินิจฉัยด้วยตนเอง ขอให้พิจารณาดูให้ถ่องแท้เสียก่อนและอย่ายอมให้เสียงส่วนใหญ่ปั่นหัวคุณเล่นได้

“จงอย่าเก็งกำไรตามคนส่วนใหญ่ ในหลายๆครั้งจังหวะที่เหมาะแก่การซื้อมากที่สุดคือเมื่อทุกคนไม่ต้องการซื้อ”
คุณควรจะดื้อรั้นและต่อต้านแรงกดดันของเสียงส่วนใหญ่ อย่าปล่อยให้ตนเองยินยอมกับตลาดเสมอ ขอให้ศึกษาสถานการณ์ด้วยตัวคุณเองให้ดี พยายามคิดวิเคราะห์ด้วยสมองคุณเอง และคุณอาจจะพบว่าคนส่วนใหญ่อาจผิดก็ได้เหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเสียงส่วนใหญ่จะผิดเสมอไป ถ้าคนส่วนใหญ่พูดถูก คุณก็ต้องคล้อยตามพวกเขา หลังจากตรึกตรองดูแล้ว โดยสรุปแล้วไม่ว่าคุณจะตัดสินใจในเรื่องอะไร ขอให้คุณคิดอย่างอิสระด้วยตัวเองเสียก่อน อย่าไปสนใจเสียงหมู่มาก

ข้อ 11. เรื่องของความดื้อรั้น

“ถ้าผลลัพธ์ครั้งแรกไม่คุ้มค่า ก็ขอให้ลืมครั้งต่อไปเสีย”
ถ้าหากคุณลงทุนในหลักทรัพย์หรือศิลปวัตถุแล้วเกิดขาดทุนขึ้นมา คุณจะไปตีโพยตีพายว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็น “หนี้” คุณ ย่อมเป็นเรื่องเหลวไหล ผิดหลักตรรกวิทยา และยิ่งถ้าคุณมีความคิดผิดๆเช่นนี้ฝังลึกเท่าใด โอกาสที่คุณจะไล่ตามและเสียเงินเพิ่มก็มีมากขึ้นเท่านั้น คุณไม่จำเป็นที่จะต้องได้กำไรจากหลักทรัพย์ที่คุณเสียไป เพราะกำไรที่คุณได้ย่อมเหมือนกันหมด ไม่ว่าจากหลักทรัพย์ตัวใดก็ตาม เพราะเงินก็คือเงินนั้นเอง
เหตุผลที่คนเราดื้อดึงนั้นคงเกิดจากอารมณ์เดือดปนกับความแค้น และความต้องการเอาชนะในสิ่งที่เสียไป ทำให้จิตใจของคุณวิ่งออกนอกลู่นอกทางไปอย่างน่าเสียดาย คุณจำเป็นต้องบังคับมิให้ตนเองตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ให้ได้

“จงอย่าพยายามบรรเทาความเสียหายของการลงทุนที่พลาดไปแล้ว ด้วยการเฉลี่ยความเสียหายให้น้อยลง”
การซื้อเฉลี่ยต้นทุน เป็นการกระทำที่โง่เขลาและหลอกลวงตนเอง เพราะการที่หุ้นได้ปรับลดลงมา ณ ระดับหนึ่งจะต้องมีสาเหตุอะไรอยู่เบื้องหลัง คุณน่าจะศึกษาหาสาเหตุที่ว่านี้ให้ได้ ซึ่งในที่สุดคุณก็อาจพบว่าบริษัทนี้กำลังเผชิญกับมรสุมเลวร้าย ผลกำไรตกต่ำ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมคุณจึงซื้อหุ้นบริษัทนี้เพิ่มล่ะ?
ทุกครั้งก่อนที่คุณจะซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อเฉลี่ยค่าความเสียหายต่อหุ้นลงนั้น ขอให้คุณลองถามตนเองก่อนว่า บริษัทนี้ดีพอที่คุณจะลงทุนเพิ่มแล้วหรือ? ถ้าหากคำตอบของคุณคือ “ไม่” ก็จงอย่าทุ่มเงิน ลงในหุ้นนี้อีกเลย

ข้อ 12. เรื่องของการวางแผน

การวางแผนระยะยาวอาจทำให้ผู้วางแผนเข้าใจผิดคิดว่าตนเอง สามารถควบคุมอนาคตได้แล้ว เพราะฉะนั้นจงอย่ายึดถือแผนระยะยาวให้มากจนเกินไป
การวางแผนคือ ภาพลวงตาของความมีระเบียบที่จะฝังแน่นกับคุณจวบจนตลอดชีวิต ที่กล่าวว่าเป็นภาพลวงตา เพราะในโลกแห่งการเงินในยี่สิบปีข้างหน้า เป็นโลกแห่งความมืดมนที่ซ่อนอยู่หลังม่านทึบ และไม่มีแสงสว่างลอดผ่าน คุณไม่อาจทราบได้เลยว่า เมื่อถึงวันนั้นแล้ว โลกแห่งการเงินยังจะมีอยู่หรือเปล่า? เพราะฉะนั้นจงอย่าทำตามแผนซึ่งอาศัยภาพในอนาคตที่ยาวไกล แต่จงตอบสนองต่อเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นจะดีกว่า และถ้าเมื่อใดที่คุณคิดว่า มีโอกาสดีก็ให้รีบลงมือ แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณมองเห็นความน่ากลัว ก็ขอให้รีบกระโดดหนี การวางแผนการเงินระยะยาวชนิดเดียวที่คุณต้องการคือ ความตั้งใจที่จะร่ำรวยเท่านั้น แต่ว่าจะด้วยวิธีใดโดยเฉพาะนั้นคุณไม่อาจจะทราบได้ ทราบแต่ว่าแผนการของคุณเองก็ควรจะมีความยืดหยุ่นด้วยเช่นกัน

จงหลีกเลี่ยงการลงทุนระยะยาว

เพราะคุณไม่มีโอกาสทราบว่าโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร และเมื่อถึงเวลานั้นคุณก็ไม่ทราบว่า โลกเราจะเปลี่ยนไปจนเงินที่คุณได้รับคืนจาก การลงทุนระยะยาว จะมีค่าหรือไม่? เพราะฉะนั้นทำไมคุณจึงตัดสินใจมัดตัวเองกับแผนการลงทุนระยะยาวละ? เพราะสิ่งเดียวที่คุณจะทราบได้เกี่ยวกับอนาคตก็คือ เมื่อถึงวันนั้นคุณก็จะรู้เอง ว่าคุณไม่อาจมองเห็นอนาคตได้จากวันนี้ แต่อย่างน้อยคุณย่อมสามารถเตรียมตัวเผชิญหน้ากับโอกาสหรือความท้าทายในวันข้างหน้าได้ ไม่ควรอยู่เฉยๆ และรอให้ทุกอย่างมาถึงประชิดตัว

"การเป็นนักวิเคราะห์ เป็นงานที่หนัก การเป็นนักเก็งกำไร งานหนักกว่ามาก ผู้ที่ชนะในการเก็งกำไรประสบความสำเร็จได้นั้น มักเป็นผู้ที่ยินดีที่จะทำงานหนัก เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ ส่วนผู้ที่แพ้ในตลาด คือผู้ที่อยากได้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด โดยไม่ได้ลงแรงอะไรเลย หวังว่าทุกอย่างเป็นสิ่งสำเร็จรูป"
"หากนักเก็งกำไร ไม่พัฒนาตัวเองไปกับการเปลี่ยนแปลงตลาดที่เกิดขึ้นตลอดเวลานั้น ก็จะอยู่ไม่นาน เพราะไม่มีตรรกของตลาดใดที่ เป็นอย่างเดิมตลอดไป"

บทสรุปสำหรับนักเก็งกำไร

หลายคนอาจจะสับสนว่าจริงแล้ว การเล่นหุ้นเป็นการพนันหรือเปล่า เพราะมันสามารถทำกำไรหรือขาดทุนมหาศาล ได้ในพริบตา โดยเมื่อทุกคนได้สัมผัสการเล่นหุ้นแล้ว ก็จะรู้ว่าความโลภมักจะตามมาครอบงำเสมอ ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้ นักลงทุน ขาดสติและจะแปลงร่างเป็นนักพนันทันที นั่นก็คือ "เสียแล้วอยากเอาคืน ได้แล้วอยากได้อีก" ดังนั้นหากคุณจะเป็นผู้นึงที่อยู่รอดในเกมส์(ตลาดหุ้น) นี้คุณ จะต้องเรียนรู้ถืงความแตกต่างระหว่างนักเก็งกำไร(นักลงทุน)และนักพนัน

ความแตกต่างระหว่าง นักเก็งกำไร(นักลงทุน)และนักพนัน

“นักเก็งกำไรต้องสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี รู้จัก Upside Gain and Downside Risk หรือเลือกลงทุน แบบ Low Risk and High Return ได้”

“ต้องรู้ว่าเมื่อใดควร Cut Loss และเมื่อใด ควร Let Profit Run”

“โดยสรุปแล้วควรมีการวางแผน เฝ้าสังเกตการณ์ และการป้องกันความเสียหายด้วยการป้องกันต้นทุน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง”

ส่วนนักเก็งกำไรระดับโลก อย่าง Jesse Livermore ก็มีการพูดถึงปรัญญาการเป็นนักลงทุน ที่ดีเลยทีเดียว ครับ เพราะเขาพูดถึงว่าหากคุณจะเป็น นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นคนช่างสังเกต มีความจำและมีหัวทางคณิตศาสตร์ที่ดี นอกจากนี้ จะต้องไม่เสี่ยงโดยไร้เหตุผล หรือในสิ่งที่คาดหวังไม่ได้ โดยหากสิ่งที่คาดหวังไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เขาก็จะจดจำ และประเมินออกมาให้เป็นความน่าจะเป็น ถึงจะยอมเลือกเสี่ยงเมื่อประเมิณความเสี่ยงได้

Wisdom of Jesse Livermore
“ Observation, experience, memory and mathematics. These are what the successful trader must depend on. He must not only observe accurately but remember at all times what he has observed. He cannot bet on the unreasonable or on the unexpected, however strong his personal convictions may be about man's unreasonableness or however certain he may feel that the unexpected happens very frequently. He must bet always on probabilities. That is, try to anticipate them. Years of practice at the game, of constant study, of always remembering, enable the trader to act on the instant when the unexpected happens as well as when the expected comes to pass. “

ดังนั้นหากจะลบจุดอ่อนต่างๆ คุณอาจจะต้องคิดพิจารณาว่าอะไร คือสิ่งที่ไม่ควรทำในการลงทุน

ลงทุนเกินตัว เช่น การเล่น Net settlement การกู้เงินมาเล่น หรือเงินที่ต้องใช้จ่ายในระยะสั้น เพราะจะทำให้คุณเกิดความกลัว และทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
รอความแน่นอน การรอข่าวสารหรือสิ่งยืนยันที่ชัดเจน เช่นข่าวจาก นสพ.หรือรอให้ทุกคนเห็นด้วย บางครั้งก็ช้าไปเสียแล้ว
ยึดติดกับความฝันหรือตัวเลขของกำไร ทำให้คุณไม่กล้าที่จะขายหากหุ้นเปลี่ยนทิศทาง
คิดวาดฝันหรือจิตนาการขึ้นเอง
ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
ไม่รู้ว่าจะหยุดขาดทุนเมื่อไหร่
มีความมั่นใจเกินไป
หลงไหลในหุ้น

 

กฎ 14 ข้อที่อยากให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรทุกคนทราบและนึกถึงตลอดเวลาเล่นหุ้นอย่างไร ให้ได้กำไร?

  1. อย่าหวังว่าจะซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำที่สุด
  2. อย่าหวังว่าจะขายหุ้นได้ในราคาสูงที่สุด
  3. อย่าฝืนตลาด ถ้าเป็นขาขึ้นต้องทนรวย ถ้าเป็นขาลงต้องออกให้ไว
  4. อย่าซื้อหุ้นไม้เดียว ให้ทยอยซื้ออย่างน้อย 3 ไม้
  5. กำหนดจุดขายทำกำไร และจุดตัดขาดทุน
  6. อย่าไปเสียดายถ้าขายหมู เพราะหุ้นมีให้เล่นอยู่เสมอ หาเมื่อไหร่ก็หาได้
  7. ซื้อเพราะเหตุผลไหน ก็ให้ขายเพราะเหตุผลนั้น
  8. ให้เชื่อตนเอง อย่าไปเชื่อคนอื่น
  9. จะเล่นสั้น 2-3 วัน ก็อย่าไปดูพื้นฐาน 2-3 ปี มันไม่เกี่ยวกัน
  10. อย่าโลภ!! เพราะการ "เล่นหุ้น" ที่ถูกวิธี ต้องมีกระสุนติดมือพร้อมยิงอยู่เสมอ
  11. ของแพง ยังแพงต่อไปได้อีก อย่ากลัวที่จะซื้อหุ้นราคานิวไฮท์
  12. ซื้อหุ้นเก็งกำไร อะไรก็ได้ แต่ซื้อแล้วขอให้มันไป ถ้าซื้อมาแล้ว 2-3 วันมันไม่ไปไหน ถือว่าเป็นหุ้นบูด ให้ขายทิ้ง แล้วหาตัวใหม่
  13. อย่าสวนกระแส ตลาดเล่นอะไร ก็เล่นตามกันไป เช่นเล่นพลังงานทางเลือก ก็ไปเล่นพลังงานหลัก
  14. สำคัญที่สุด.. คือ.. อย่าหวังรวยจนฐานะเปลี่ยนจากการเล่นหุ้น เพราะไม่ยั่งยืน มีได้ มีเสีย ระยะยาวแล้ว การลงทุนในหุ้นจะยั่งยืนที่สุด

 

เก็งกำไรในมุมมองของ hoonyai

  1. รับความเสี่ยงสูงได้ และคิดให้ไว ทำให้ไว ใจก็ต้องถึงด้วย
    ความเสี่ยงต้องรับได้สูงหน่อย ถ้ารับความเสี่ยงสูงไม่ได้ อย่ามาเก็งกำไร ให้ไปเล่นหุ้นโดยใช้แนวคิดแบบลงทุนดีกว่า คนที่เก็งกำไรได้ดี คือเขาพร้อมจะ cut loss ทันที เมื่อรู้ว่าเข้าพลาดจังหวะ การ cut loss นี่แหล่ะที่บอกว่าคุณรับความเสี่ยงได้สูง เมื่อรับความเสี่ยงสูงได้ ก็ต้องคิดให้ไว ทำให้ไวด้วย ช้าๆมันจะไม่ทันคนอื่น
  2. วอลุ่มสำคัญมากๆๆๆ
    การเก็งกำไร ต้องยึดที่วอลุ่มเป็นหลัก หุ้นที่ไม่มีวอลุ่มเข้ามาเล่น อย่าไปเก็งกำไรเด็ดขาด เสียเวลา เพราะเจ้ามือเขายังไม่ได้เล่น และไม่รู้จะเล่นเมื่อไหร่ ให้ไปเก็งตัวที่มีวอลุ่มเข้า ซึ่งหมายถึงเจ้าหุ้นตัวนั้นกำลังทำเกมส์ดีกว่า
  3. อย่าเกี่ยงเรื่องราคา
    บางคนเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาแรงๆ ก็ไม่กล้าเข้าไปเล่น เหตุผลคือเพราะซื้อไม่ทันปล่อยไปดีกว่า (แต่พอตอนถูกก็ไม่กล้าซื้อ เพราะกลัวจะไม่ขึ้นหรือไม่ก็กลัวมันจะลงได้อีก พอมันวิ่งขึ้นมาก็ไม่กล้าซื้อ เพราะว่าแพงไป จะเอายังไงแน่ ?) การเก็งกำไรนั้น อย่าไปหวังซื้อให้ต่ำที่สุด แล้วไปขายสูงที่สุด
    หัวใจของการเก็งกำไรคือ เข้าไปเล่นเมื่อมีสัญญาณการเก็งกำไรเข้ามา และต้องขายออกมาในอีกไม่นาน พร้อมกับเอากำไรให้ได้ สมมติว่าหุ้นตัวนั้น จะวิ่งจาก 1 บาทไป 5 บาท คุณก็อย่าไปแคร์เพื่อซื้อ 1 บาทหรือกะขายตรง 5 บาท คุณแค่เอากำไรจากตรง 2 3 4 ให้ได้ก็เป็นพอ
  4. ไปเรื่อยๆ อย่าชอบกินของเดิม
    การเก็งกำไรต้องพเนจรไปเรื่อยๆ เหมือนจอมยุทธ์หนังจีน เข้าไปเก็งตัวไหนได้แล้วก็จงออกมา แล้วก็หาไปเรื่อยๆ ในตลาดหุ้นจะมีการเก็งกำไรหุ้นอยู่เสมอ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีให้เก็ง ยกเว้นเสียว่าคุณจะหมดโอกาสเสียก่อน เพราะไปติดหุ้นแล้วออกไม่ได้
  5. เช็คข่าวเสมอ
    หุ้นที่เก็งกำไรขึ้นมา มันต้องมีข่าวสนับสนุน ไม่ข่าวใดก็ข่าวหนึ่ง ต้องเช็คให้ดีๆ จะได้ไม่อยู่หลังเขา เช็คข่าวไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร เข้าเว็บ www.ryt9.com แล้วพิมพ์ค้นหาตรงมุมขวาบนก็ได้ หรือจะเช็คจากที่อื่นก็ได้หุ้นอะไรที่มีการเก็งกำไรเข้ามา มักจะมีข่าวออกมาส่งเสริมอยู่เสมอ การมีข่าวออกมาช่วย หากข่าวนั้นสามารถต่อยอดได้อีกนาน หุ้นตัวนั้นก็สามารถเก็งกำไรได้เรื่อยๆด้วย แบบว่าเล่นได้เรื่อยๆ
  6. เปลี่ยนหุ้นในหน้าจอบ่อยๆ
    นักเก็งกำไรต้องกระฉับกระเฉง หน้าจอของคุณต้องสับเปลี่ยนหุ้นที่มีสัญญาณการเก็งกำไรเข้ามา เพื่อดึงมาดูอาการหุ้นตัวนั้นว่าน่าเข้าไปเก็งกำไรหรือเปล่า มันจะดีมาก หากก่อนเข้าไปเก็งกำไรตัวนั้น คุณได้นั่งดูอาการหุ้นสักหน่อย
  7. ตลาดเปิดเช้า เหมาะกับการขายมากกว่าซื้อ
    แน่นอนครับ ถ้าผมเก็งกำไรหุ้นของวันก่อนหน้า แล้ววันถัดมาหุ้นตัวนั้นเปิดโดด ผมก็พร้อมจะขายให้สำหรับคนมาซื้อตอนเช้า เอาไปเลยพวก แต่ละวันตลาดเปิดให้เทรด 4 ชั่วโมงครึ่ง คุณไม่จำเป็นต้องไปซื้อราคาเปิดให้คนที่ซื้อวานนี้เขาได้กำไรหรอก รอให้ตลาดเปิดออกมาเพื่อดูอาการหุ้นก่อนก็ได้ เห็นเสือไหม เวลามันจะล่าเหยื่อ มันจะคอยดูก่อนเข้าล่า เก็งกำไรหุ้นก็เหมือนกัน ดูให้ชัดๆก่อนเข้าไปลุย
  8. ก่อนปิดเที่ยง ดูว่ามีตัวไหนน่าสนใจ
    หลังจากตลาดเปิดเช้า ดูไปเรื่อยๆ หุ้นตัวไหนที่เหมือนมีสัญญาณพร้อมกับวอลุ่มเข้ามา ก็ดึงมาอยู่หน้าจอ หากช่วงใกล้เที่ยง มีแรงไล่เข้ามา นั่นอาจเป็นการนำเอาหุ้นตัวนี้ไปเล่นต่อในตอนบ่ายหรือวันถัดไป จังหวะการเข้าไปเก็งกำไรก่อนปิดเที่ยงน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
  9. ช่วงปิดเที่ยงก่อนเปิดเทรดบ่าย
    เพราะหน้าที่การเก็งกำไร คือต้องหาหุ้นที่มีสัญญาณการเก็งกำไรเข้ามา นั่นก็คือหุ้นที่มีวอลุ่มเข้ามาอย่างมีนัยยะ และมีการไล่หุ้นขึ้นมา ดังนั้น อย่าลืมกดดูหน้าจอ Most Gainers เพื่อดูรายชื่อหุ้นที่บวก และต้องเน้นไปยังหุ้นที่มีวอลุ่มเข้ามาเป็นพิเศษด้วย เพื่อจะได้จับตาดูเหล่านั้นในตอนบ่าย เป็นการทำการบ้านก่อนตลาดเปิดบ่าย
  10. ช่วงบ่ายๆจนถึงเย็น
    บ่ายๆไปถึงเย็น หากเจ้ามือจะไล่หุ้นเพื่อเอาไปเล่นต่อในวันถัดไป ก็ต้องดูช่วงนี้แหล่ะ หุ้นที่จะเอาไปเก็งกำไรในวันถัดไป มักจะมีการเก็งกำไรขึ้นมาก่อนแล้วในวันก่อนหน้าอยู่เป็นประจำ
  11. ซื้อขายภายในวันได้ยิ่งดี
    ซื้อและขายจบภายในวัน ความเสี่ยงไม่มี ไม่ต้องไปลุ้นในวันถัดไป แบบนี้เรียกว่าดีไหม?
  12. หุ้นขึ้นแรง แต่วอลุ่มไม่เด่นก็ไม่น่าสน
    ระวังให้ดี มันมีพวกอีแร้งอีกา ที่รวมกลุ่มกัน แล้วก็ทำการลากหุ้นอย่างไวๆ พอแมงเม่าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กระโจนเข้าไป ก็โยนขายออกมา เพราะก่อนหน้านี้ คนพวกนี้จะเข้าไปเก็บหุ้นไว้แล้วระยะนึง ดังนั้น หุ้นที่น่าเก็งกำไรและค่อนข้างจะเก็งจริงๆจังๆ คือต้องมีวอลุ่มมากเป็นพิเศษ เช่น หุ้นราคาไม่ถึงห้าบาท ก่อนหน้าไม่มีวอลุ่มอะไรมากนัก เทรดวันละ 1-2 ล้านบาท แต่จู่ๆมีวอลุ่มเข้ามาวันเดียวระดับร้อยล้านหรือใกล้เคียง แบบนี้ น่าเข้าไปเก็งกำไรตามมากกว่า
  13. เมื่อไหร่ที่รู้ว่าเข้าผิดจังหวะก็ต้องกล้า cut ออกมา
    คนเราไม่ได้ทำถูกไปทุกอย่าง บทจะพลาด ก็ต้องไหวตัวออกมาก่อนนะครับ เช่น อาจจะยอม cut 3-5% แต่คุณจะได้โอกาสในการนำไปเก็งกำไรใหม่
  14. หุ้นที่เก็งเข้ามาแบบสดๆซิงๆ การไล่หุ้นขึ้นมาในช่วงแรกเป็นจังหวะที่น่าเก็งด้วยมากที่สุด
    หุ้นที่แต่ก่อนเงียบๆ จู่ๆมีการเก็งเข้ามา วอลุ่มก็มาโดดเด่นด้วย มันจะเป็นการเก็งกำไรขาแรกเพื่อจะดึงขึ้นไปให้ถึงระดับหนึ่ง จากนั้นค่อยปรับตัวลงมา จำไว้ว่าไม่มีหุ้นอะไรที่ลากขึ้นไปเป็นเส้นตรง โดยไม่มีการปรับตัวเลย การเก็งกำไรที่น่าสนใจนั้น เข้าไปลุยในช่วงขาแรกเพราะช่วงนี้ หุ้นกำลังสดๆซิงๆ เช่น หุ้นตัวนึง เริ่มลากจาก 1 บาท เจ้าอาจจะลากแรงๆไป 1.50 ก่อนจะปล่อยให้พักฐาน หรือประเภทลากหุ้นวันแรกให้ชนลิ่ง (+30%) พวกนี้ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะโดยส่วนใหญ่ จะมีการเล่นขึ้นไปอีก ไม่จบเกมส์ง่ายๆ ดังนั้น อย่าไปกลัวว่าราคามันจะแพงไป เพราะการเก็งกำไร หัวใจมันอยู่ตรงการมีสัญญาณการเก็งกำไร อย่างที่บอกไป หากหุ้นตัวนี้จะลากจาก 1 ไป 5 คุณไม่ต้องไปหวังซื้อที่ 1 หรือขายที่ 5 คุณไปเอาช่วง 2 3 4 ก็ได้
  15. กราฟดูบ้าง เพื่อหาแนวรับแนวต้าน แต่สำคัญกว่าคืออาการของหุ้นที่ซื้อขายภายในวัน
    กราฟสวยงาม สัญญาณชี้พร้อมว่าซื้อ แต่ถ้าเจ้าไม่เล่นด้วย มันก็ไม่มีความหมาย ดังนั้น วอลุ่มที่โดดเด่นและอาการหุ้นที่ลากสู้ๆ แบบนี้น่าสนใจกว่า
  16. พยามเก็งตอนเจ้าไล่หุ้น เข้าไปอยู่ในช่วงนั้นให้ได้
    บอกเลยว่าหุ้นทุกตัวมีเจ้า เจ้าเขาเล่นเมื่อมีวอลุ่ม นอกจากมีวอลุ่มแล้วก็ต้องลากด้วย แบบนี้น่าเข้าไปเก็งตามเจ้าได้
  17. ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกลา หุ้นที่ถูกเก็งกำไรขึ้นมาเล่นก็เช่นเดียวกัน
    อย่าไปเพ้อฝันว่ามันจะขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะนั่นแสดงว่าคุณกำลังโลภเกินไป มีกำไรที่พอเพียง คุณต้องออกมา แล้วไปเก็งตัวใหม่ เจ้ามือก็ต้องการกำไร คุณก็ต้องการกำไร ดังนั้น เกมส์จบก็ต้องออกมาซะ ไม่มีเจ้าคนไหนมาลากหุ้นโชว์โดยไม่แสวงหากำไร เขามีต้นทุนในการทำ เขาก็ต้องเอากำไรเหมือนคุณที่เข้าไปเก็งกำไรกับเขา ได้แล้วก็ต้องออกมา
  18. ตลาดมีให้เก็งกำไรตลอด ไม่ว่าจะตลาดดีหรือไม่ดี ดังนั้นก็จงทำตัวเหมือนเป็นจอมยุทธ์พเนจร เก็งกำไรไปเรื่อยๆ

ขอให้มีความสุขกับการเก็งกำไรและจงเอากำไรอย่างพอเพียง แล้วคุณจะอยู่ได้ในฐานะนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นที่สร้างสีสันให้กับวงการนี้

 

ปล. อ่านแล้วเออแหะมันจริงตามนั้น....การลงทุนอย่าโลกสวย อย่าทำตัวอย่างนึง ปากพูดอย่างนึง การลงทุนที่ดีคือการแสวงหากำไรไม่ใช่ความภูมิใจแต่เพียงอย่างเดียว สำคัญที่สุด ไม่มีใครยิ้ม หรือร้องไห้ได้ตลอดไปครับทุกอย่างมีความไม่แน่นอนในตัวของมันเองครับ