ลดริ้วรอย

  • Tab 1
  • Tab 2
  • Tab 3
  • Tab 4
  • Tab 5

11 วิธีซื้อเวลา...ลดริ้วรอยแห่งวัย!

ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่กลัวแก่ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธธรรมชาติแห่งการบ่งชี้ถึงความแก่ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะช่วยวิ่งหนีริ้วรอยของวัย หรือกลบเกลื่อนได้ มักจะมีคนวิ่งเข้าใส่แม้จะต้องเจ็บตัวและเสียเงินมากเพียงใดก็ตาม ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถซื้อเวลาหรือชะลอริ้วรอยที่ไม่พึงปรารถนาได้

วิธีหลีกหนีริ้วรอยและปัญหาผิวพรรณ เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงสภาพผิวที่แห้งกร้านนั้น ไม่ได้ทำยากอย่างที่คิด ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจผิวหนังกันก่อนว่า ผิวหนังประกอบด้วยชั้นไขมัน ชั้นหนังแท้ และชั้นหนังกำพร้า โดยในหนังแท้นั้นมีคอลลาเจน และอิลาสติน เป็นตัวช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น แต่เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายเริ่มสูญเสียคอลลาเจน ดังนั้นการที่จะทำให้ร่างกายสูญเสียคอลลาเจนให้ช้าที่สุดคือหัวใจสำคัญค่ะ มาดูกันเลย

1.หลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น เพราะเป็นช่วงที่มีปริมาณรังสียูวีเข้มข้นและเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อผิว และควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ

2.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ซึ่งอุดมด้วยวิตามินและสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อผิวนอกจากนี้ ควรเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือหวานจัด ผลการวิจัยชี้ว่าการบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินไป จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับคอลลาเจนในชั้นผิว

3.ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายและเซลล์ผิว นอกจากน้ำจะช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้ว ยังช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้อีกด้วย

4.ควรล้างหน้าให้สะอาด หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เพราะจะทำให้ผิวแห้ง หลังล้างหน้าอย่าลืมทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว

5.อย่าริสูบบุหรี่ หรือถ้าสูบอยู่แล้วก็ควรเลิก เพราะบุหรี่จะขัดขวางไม่ให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ผิวหนังได้เต็มที่ ทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยมากกว่าคนทั่วไป

6.ออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้วยังส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเซลล์ผิวหนังได้ดีนอกจากนี้ ยังช่วยขจัดความเครียดซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอีกด้วย

7.มองโลกในแง่ดี หาวิธีฝึกควบคุมอารมณ์ไม่ให้เครียดหรือโมโหง่าย โยคะหรือชี่กงเป็นตัวอย่างของกายบริหารที่ช่วยพัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

8.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-9 ชั่วโมง เพื่อทั้งร่างกายและจิตใจจะได้พักผ่อนเต็มที่

9.เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ซึ่งส่งผลให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยก่อนวัย และควรเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา โกโก้ ช็อกโกแลต และเครื่องดื่มรสโคล่าทั้งหลาย เพราะกาเฟอีนมีผลต่อความดันโลหิตและระบบย่อยอาหาร

10.ควรเลิกพฤติกรรมที่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นโดยไม่จำเป็น เช่น การขมวดคิ้ว ขยี้ตา เอามือเท้าคาง เป็นต้น หากทำซ้ำๆ จนติดเป็นนิสัยอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ การลดความอ้วนแบบฮวบฮาบก็อาจก่อให้เกิดริ้วรอยได้เช่นกัน เพราะเมื่อชั้นไขมันใต้ผิวหนังหายไปอย่างรวดเร็ว ผิวหนังก็จะเหี่ยวย่น

11.มลภาวะ เช่น ไอเสียถนนที่มีการจราจรติดขัดมากๆ นับเป็นภัยทำลายผิวที่ไม่ควรมองข้าม เพราะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ เซลล์ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยก่อนวัย ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยง

นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การปรนนิบัติผิวพรรณอย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเช่นกัน อย่างการนวดหน้า ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและการทำงานของเซลล์ผิว การขัดหน้าช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก

ลองดูนะคะไม่มีคำว่าสายเกินไปค่ะ สำหรับการรักสวยรักงาม...

ที่มา สยาม ดารา

ทำอย่างไรดีกับริ้วรอยจากผิวแห้ง

ผิวแห้งมีหลายสาเหตุ อย่างแรกที่เกี่นวกับผิวโดยตรงก็คือ ระดับน้ำในชั้นใต้ผิวซึ่งตามปกติจะอยู่ราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อไหร่ที่ลดลงเหลือน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ผิวจะจะเริ่มแห้งจนสังเกตได้

หรืออาจจะเป็นเพราะผิวขาดความชุมชื้น ต่อมผลิตไขมันทำงานลดลง ชั้นผิวก็เลยแห้งจนเกิดเป้นริ้วรอยเล็กๆ หรือที่เรียกกันว่า fine line นอกจากนี้ผิวแห้งยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพแวดล้อมรอบตัว การดูแลผิวที่ไม่ถูกต้อง และรวมถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น

ปัจจัยอื่นๆที่ว่าส่งผลกระทบกับผิวอย่างไรถึงทำให้ผิวแห้งได้สภาพแวดล้อมจะส่งผลกระทบต่อผิวง่ายมาก เช่น ความชื้นในอากาศ อย่างวันที่อากาศแห้งเกินไป อากกาศที่หนาวจัด หรือลมหนาว พวกนี้ทำให้ผิวแห้งทั้งนั้นโดยเฉพาะแสงแดด คนที่อยู่กลางแดดจัดๆ เป็นเวลานานสังเกตุดูผิวจะเริ่มแห้งกร้าน ถ้าไม่มีการทาครีมกันแดดผิวก็จะเริ่มแห้งลงเรื่อยๆและก่อให้เกิดริ้วรอยที่ชัดเจนมากขึ้น

หรือผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่หรือมีชีวิตประจำวันอยู่ใรเมือง ผิวจะแห้งได้ง่าย เพราะมลภาวะต่างๆ ในเมืองไม่ค่อยบริสุทธิ์นัก ทำให้ผิวถูกทำลายอยู่ตลอกเวลา หรืออย่างเวลาที่อยู่บนเครื่องบินก้เช่นกัน อากาศข้างบนจะแห้ง ดังนั้นคนที่เดินทางโดยเครื่องบินบ่อยๆจึงต้องมีกระปุกครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ติดตัวไว้เพื่อคอยบำรุงผิวหน้าและมือตลอดการเดินทาง

นอกจากนี้การดูแลผิวที่ถูกต้องก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะบางครั้งผิวแห้งเกิดจากกระทำของเราเอง เช่น สบู่ล้างหน้าที่อ่อนโยนต่อผิว ใช้มาส์กหรือสครับขัดผิวบ่อยเกินความจำเป็น หรือใช้โลชั่นเช็ดผิวที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการรบกวนชั้นผิวบางๆชั้นบนสุดของผิว ทำให้ผิวถูกทำลายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติของผิวไป ทำให้ผิวเริ่มแห้ง ส่วนคนที่ไม่ค่อยทะนุถนอมผิว เช่น เช็ดหน้าแรงๆ ๔หน้าแรงๆ ก็ทำให้ผิวแห้งกร้านขึ้นได้ ในขณะที่การล้างหน้าด้วยน้ำที่ร้อนเกินไปก็ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นได้เช่นกัน

ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอายุนั้น เมื่อเราแก่ตัวลง ฮอร์โมนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง การผลิตน้ำมันตามธรรมชาติของผิวก็เริ่มลดลง ทำให้ผิวเริ่มขาดความชุ่มชื้นเริ่มแห้งจนสังเกตุได้นั่นคือคำตอบที่ว่าทำไมคนที่อายุมากๆจึงต้องกระตือรือร้นที่จะหาครีมบำรุงมาทาผิว เพื่อช่วยทดแทนสิ่งที่ขาดไป ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นไว้ได้นานที่สุดเท่าที่จะมากได้ และสุดท้ายเลยก็คือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์หรือคาเฟอีนมากไปก็มีส่วนทำร้ายผิวให้แห้งกร้านได้ เช่นคนที่ความดื่มน้พอัดลม กาแฟ และคนที่สูบบุหรี่จัดๆผิวหน้าจะไม่สวย จะแห้งและดูแก่เร็วมาก

ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าคนผิวแห้งจะมีริ้วรอยก่อนวัยหรือดูแก่เร็วกว่าคนอื่น

ริ้วรอยที่เกิดจากผิวแห้งกัยริ้วรอยที่เกิดจากวัยนั้นต่างกัน คนที่มีผิวแห้งอาจมีริ้วรอยง่ายกว่าคนที่มีผิวมัน แต่มันจะเป็นแค่ริ้วรอยชั่วคราว เป็นแค่ริ้วรอยบางๆที่เกิดจากแห้งแตก (ตามธรรมชาติของคนผิวแห้ง) เราเรียกกันว่า fine line อาจเกิดจากการที่ผิวได้รับการบำรุงได้เพียงพอ ขาดความชุ่มชื้น ร่างกายขาดน้ำ แต่ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ถ้าผิวได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ริ้วรอยเหล่านั้นก็จะหายไปได้ ดังนั้นไม่ได้หมายความว่าคนผิวแห้งจะดูแก่เร็วกว่าคนอื่น เพียงแต่ต้องบำรุงมากกว่าปกติเท่านั้น คนผิวแห้งบางคนดูแลผิวอย่างดี มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็ทำให้ผิวดูดี สดชื่นได้ ส่วนริ้วรอยที่เกิดจากวัยนั้นไม่ว่าจะมีผิวแห้งหรือผิวมันก็ต้องมีทุกคน เป็นริ้วรอยที่เลี่ยงไม่ได้ และเป็นริ้วรอยที่ถาวร

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็รคนผิวแห้งหรือไม่

ถึงแม้ว่าทุกคนอาจจะมีโอกาสผิวแห้งได้บางขณะ เช่น เวลาอบู่ยนเครื่องบิน หรือเวลดื่มน้ำไม่เพียงพอ แต่คนที่จัดว่าเข้าข่ายผิวแห้งนั้นจะมีผิวที่แห้งกว่าคนอื่นอย่างสังเกตได้ชัดเจน เช่น หลังอาบน้ำเสร็จถ้ารู้สึกว่าผิวเริ่มแห้ง มีอาการคันและระคายเคือง ทั้งที่อาบน้ำเสร็จมาไม่กี่นาทีนี้เอง นั่นหมายความว่าคุณเข้าข่ายผิวแห้งได้ หรือถ้าอยากทดสอบง่ายๆ แล้วการล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆและน้ำอุ่นๆพอเสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ

ห้ามทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ใดๆ เด็ดห้ามทิ้งเอาไว้ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นเอากระดาษซับมันแปะไว้ที่จุดต่างๆของใบหน้า ได้แก่ หน้าผาก แก้ม จมูก และคาง เสร็จแล้วเอากระดาษซับมันออกมาดู ถ้าเกิดกระดาษซับมันแผ่นไหนไม่มีน้ำมันลย คือส่องดูกับแดดแล้วไม่มีส่วนไหนโปร่งแสงเลย ก็แสดงว่าส่วนนั้นเป็นส่วนที่ผิวแห้ง สำหรับคนผิวผสมนั้น กระดาษที่แปะไว้ตรงจมูกและคางอาจจะมัน ส่วนที่หน้าผากและแก้มอาจจะแห้งสนิท ในขณะที่คนผิวมันนั้นกระดาษทุกแผ่นจะมันจนเห็นได้ชัด

เคล็ดลับที่ทำให้ผิวแห้งดูดีขึ้น

อย่างแรกเลยคือต้องบำรุงให้มาก คนผิวแห้งควรจะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ ประหนึ่งเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต โดยเฉพาะมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ กลีเซอรีน (Glycerin), ลิพิด (Lipids), ปิโตรเลียม เจลลี่ (Petroleum Jelly), และวิตามนอี (Vitamin E) เพราะมันจะช่วยเก็บกักน้ำและความชุ่มชื้นกันผิวได้ดีมากๆ ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยให้ความแห้งโบกมือลาผิวไปอย่างถาวรแต่มันก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ดี

นอกจากนี้ AHA ก็ช่วยให้ผิวนุ่มเนียนขึ้นอย่งเห็นได้ชัด แถมยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างนุ่มนวลอีกด้วย (ริ้วรอยบางๆในชั้นนอกของผิวก็จะหลุดสลายตามไปด้วย) แต่ต้องระวังหน่อยเพราะถ้าใช้ผิดวิธีก็อาจทำให้ผิวแห้งกร้านมากขึ้นได้ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ทุกครั้ง หลายคนชอบถามว่าครีมยี่ห้อไหนเหมาะดีกับผิวแห้งมากที่สุด ผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราควรเชื่อสัญชาตญาตตัวเอง เพราะผิวจะบอกได้เองว่ามอยส์เจอร์ไรเซอร์กระปุกไหนที่ผิวรู้สึกดีด้วยเป็นพิเศษ เรื่องราคาไม่สำคัญ เพราะบางทีกระปุกละหลายพันแต่ผิวอาจไม่ถูกกันก็เป็นได้

นอกจากนี้การล้างหน้าก็สำคัญ ความจริงคนผิวแห้งล้างหน้าวันละครั้งในตอนเย็นก็พอแล้ว ส่วนตอนเช้าแค่น้ำสะอาดเปล่าๆก็พอแล้ว เพราะขืนล้างมากไปสิ่งที่จะถูกชะล้างออกไปกลับไม่ชึความสกปรกแต่กลายเป็นน้ำมัน (อันน้อยนิด) ของผิวหน้าแทน

ส่วนวิธีง่ายๆอย่างการดื่มน้ำเยอะๆ ก็เป็นวิธีที่ดีมาก เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ นั่นหมายถึง ผิวสวยก็ขาดความชุ่มชื้นไปด้วย ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้วเป็นดีที่สุด แต่ดื่มมากไปก็ใช่จะช่วยได้มาก เพราะถ้ามากเกินปริมาณที่ร่างกายจะรับได้ มันเป็นถ่ายเทออกมาเป็นของเหลว เช่น ปัสสาวะ โดยอัตโนมัติทันที

อีกวีที่เป็นวิธีทางอ้อมแต่ช่วยผิวได้ก้คือการเอาน้ำใส่แก้วแล้ววางไว้ใกล้ๆตัว ทั้งในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือที่ทำงาน โดยเฉพาะห้องที่มีความแงในอากาศอย่างห้องแอร์เพราะน้ำจะช่งยเพิ่มความชื้นในอากาศ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นน้อยลง ดังนั้นคนที่ผิวแห้งถ้ารู้จักวิธีดูแลและป้องกันก็ช่วยให้ผิวดูดีได้นะคะ เพราะข้อได้เปรียบของคนผิวแห้งก็คือ มีรูขุมขนเล็ก ผิวเลยดูละเอียด เรียบเนียน และแทบจะไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องสิวเลย

หัวเราะได้ไม่กลัวริ้วรอย

ผู้หญิงบางคนไม่ค่อยหัวเราะเพราะกลัวเกิดริ้วรอยย่นรอบดวงตาและร่องแก้ม ทั้งๆที่การหัวเราะทำให้อารมณ์ดี หน้าตาสดใส ดังนั้นจงหัวเราะเถอะค่ะ อย่าสกัดกั้นเสียงหัวเราะเอาไว้เลย เพราะผู้หญิงไม่อาจเลี่ยงปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าได้ แต่เรามีวิธีชะลอริ้วรอยไม่ให้มาเยือนก่อนเวลาอันควรได้

ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับผิวตัวเองก่อน (อยากรู้ว่ามีผิวแบบไหน คลิ๊ก) จะได้ดูแลบำรุงผิวได้ถูกวิธี โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้ง ถ้าไม่รู้จักการบำรุงผิวก็จะเกิดริ้วรอยได้เร็วกว่าผู้ที่มีผิวมันหรือเกิดริ้วรอยเส้นเล็กๆที่เกิดจากการขาดความชุ่มชื้น (เห็นได้ชัดเมื่อคลี่ยิ้มหรือหัวเราะ) แต่ไม่ใช่ริ้วรอยลึกหรือริ้วรอยถาวรที่บ่งบอกอายุ ริ้วรอยเส้นเล็กๆเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการทาครีมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ คอยบำรุงให้ชุ่มชื้น เช่น ควรดื่มน้ำให้มากในแต่ละวัน ฉีดสเปรย์น้ำแร่ในระหว่างวัน ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ริ้วรอยเล็กๆก็จะจางลง ริ้วรอยแบ่งได้หลายประเภท โดยไม่จำเป็นต้องเกิดจากการหัวเราะเท่านั้น

รอยย่นจากการครุ่นคิด หรือที่เรียกว่า หน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อให้เกิดรอยย่นระหวางคิ้วและริ้วรอยเป็นทางที่หน้าผาก

รอยย่นจากความโกรธ เมื่อโกรธบ่อยรอยย่นก็จะตามมาและเกิดเป็นริ้วรอยถาวร ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยากแก่เร็วก็ต้องทำจิตใจให้ปล่อยวาง อย่าให้มีอารมณ์ฉุนเฉียวโกรธง่าย

รอยย่นเป็นทางขวางบริเวณรอบดวง เกิดขึ้นเมื่อคนเก็บกดความก้าวร้าวและอารมณ์ร้ายๆไว้ภายใน จนทำให้ใบหน้าเคร่งเครียดและส่วนหลังตึงเครียดไปด้วย

รอยย่นบริเวณหนังตา สาเหตุที่เกิดริ้วรอยย่นบริเวณหนังตาเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เนื้อเยื่ออ่อนแอหรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

ริ้วรอยบริเวณหู รอยย่นบริเวณหูมักเกิดขึ้นพร้อมๆกับรอยบวมใต้ตาและเกิดเป็นร่องลึกไปถึงแก้ม ซึ่งสามารถบ่งบอกได้ว่ากำลังป่วยเป็นโรคไต

รอยย่นที่ร่องแก้มข้างจมูก ส่วนมากเกิดจากยีน และจะเป็นร่องลึกยิ่งขึ้นจนเห็นได้ชัดเจนตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย

รอยย่นบริเวณแก้ม เป็นรอยย่นที่เริ่มจากคางไปจนถึงโหนกแก้ม และโดยส่วนมากจะสังเกตเห็นได้ชัดกับเพศชาย

รอยย่นเหนือริมฝีปาก รอยย่นนี้มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยทอง

รอยย่นที่ปากและคาง ส่วนมากมักเกิดจากกรรมพันธุ์

รอยยับย่น มักเกิดจากความเครียดมากเกินไปและการรับประทานอาหารผิดๆจึงเป็นรอยย่นเล็กๆที่เกิดขึ้นได้ทั่วใบหน้า

รอยย่นที่มุมปาก เป็นรอยย่นจากมุมปากเอียงไปด้านล่าง

การแสดงสีหน้าบ่อยๆทำให้เกิดริ้วรอยได้ เช่น การขมวดคิ้วทำให้เกิดริ้วรอยบนหน้าผาก รอยตีนกาที่เกิดจากการยิ้มหรือหัวเราะ เพราะผิวหน้ามีการเคลื่อนไหวบ่อยๆ จึงเป็นการย้ำรอยเดิมให้ลึกยิ่งขึ้น จนกลายเป็นริ้วรอยถาวร

นอกจากนี้ยังมีริ้วรอยที่เกิดจากการกดทับเวลานอนหลับ ริ้วรอยชนิดนี้เกิดจากการนอนที่ผิดท่าเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะการนอนตะแคงข้างและนอนคว่ำ เป็นริ้วรอยที่มักเกิดที่บริเวณแก้ม คางและมุมปาก ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการนอนหงายเป็นประจำ

ริ้วรอยต่างๆที่พูดถึงนั้น มีริ้วรอยประเภทเดียวที่จะมาถึงเราช้าที่สุดก็คือ ริ้วรอยที่มากับอายุ เพราะเป็นริ้วรอยตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากสภาวะสิ่งแวดล้อม ความเครียด หรือการถูกทำร้ายจากแสงแดด

เทคนิคสำหรับการนวดใบหน้า
ใช้น้ำมันสูตรอ่อนโยนที่มีคุณค่าวิตามินต่างๆหรือใช้ครีมทาหน้าที่ให้ประโยชน์กับผิวพรรณ

1. นวดคาง การลูบไล้และการดึงเบาๆช่วยให้เลือดไหลเวียน ช่วยให้อีลาสตินดีขึ้นและป้องกันคางสองชั้นด้วย
วิธีนวด ดึงผิวหนังบริเวณคางด้วยหัวแม่มือและนิ้วชี้อย่างนุ่มนวล จากนั้นใช้ฝ่ามือลูบไล้จากกึ่งกลางคางไปถึงใบหู ทำข้างละ 5 ครั้ง

2. นวดหนังตา ก่อนนวดต้องทาครีมสำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะบริเวณหนังตาเสียก่อน
วิธีนวด ใช้ปลายนิ้วก้อยสองข้างแตะที่มุมตาด้านในแล้วกดเบาๆเป็นรูปครึ่งวงกลมออกไปมุมด้านนอกดวงตา แล้วลูบไล้เข้าด้านใน

3. นวดหน้าผาก
วิธีนวด ใช้ปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้างวางที่ฐานจมูกแล้วออกแรงเล็กน้อยในการลูบออกไปที่ขมับทั้งสองข้าง ควรทำช้าๆโดยใช้แรงกดที่คุณรู้สึกสบายๆ ทำ 5 ครั้ง

ข้อแนะนำ การนวดใบหน้า ควรใช้ครีมเล็กน้อยหรือน้ำมัน2-3 หยด ก่อนจะเริ่มนวดควรใช้ผ้าชื้นๆประคบใบหน้าเสียก่อน

5 ขุนพลต้านริ้วรอย

สาวหลายๆท่านคงกำลังหาวิธีลดหรือชะลอริ้วรอยกันอยู่แน่ๆ ขอรวบรวมวิธีการง่ายๆ และบอกถึงตัวยาในครีมที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดหรือชะลอริ้วรอยได้จริงให้อ่านกันเล่นๆ เป็นความรู้ เผื่อไว้เลือกปฏิบัติสำหรับตนเอง

อย่างแรกเลยต้องพูดถึงครีมบำรุง หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ เพราะสาเหตุอย่างหนึ่งของริ้วรอยก็คือความแห้งกร้านของผิว เมื่อผิวแห้งหรือขาดความชุ่มชื้น ริ้วรอยก็ตามมาเยือน เสมือนแผ่นดินภาคอีสานเวลาหน้าแล้งที่แตกระแหง ถ้าปล่อยไว้นานแม้จะเอาน้ำไปรดเท่าไหร่ รอยแตกก็ไม่อาจเลือนหายไปได้หมด ผิวเราก็เช่นกัน ถ้าไม่บำรุงเอาใจใส่ทาครีมบำรุง นานๆ เข้าก็เกิดเป็นริ้วรอยและยากที่จะคืนให้เรียบเกลี้ยงเหมือนเดิม ดังนั้นคนที่กลัวแก่ทั้งหลายต้องทาครีมบำรุงเป็นประจำ ถ้ามีผิวมันก็ต้องเลือกครีมบำรุงชนิดออยล์ฟรีสำหรับคนผิวมันโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงแดดและทาครีมกันแดด เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้อยู่เมืองไทยที่แดดร้อนออกจะเปรี้ยงๆ อย่างนี้ เพราะแสงแดดนอกจากจะทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินที่ทำให้ผิวเต่งตึงแล้ว ยังทำให้ความชุ่มชื้นระเหยไปจากผิวเรา ใครที่ไม่อยากให้คนมาเรียกเป็นลุงเป็นป้าก่อนวัยอันควร ก็ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันค่ะ

ยาลดริ้วรอยตัวแรกที่กล่าวถึงเพราะเชื่อกันว่าเป็นยาลดริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดคือ ยาที่อยู่ในกลุ่ม กรดวิตามินเอ ที่มีชื่อว่า Tretinion โดยสารตัวนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ที่ชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ริ้วรอยลดลง โดยคนที่นำยากรดวิตามินเอมาใช้ครั้งแรกเป็นนายแพทย์ชาวต่างชาติ (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นชาวอเมริกัน) นำเอายาตัวนี้มาใช้ทดลองกับตัวเองครั้งแรกหลังจากทายาทุกวันไปนานหนึ่งปี และถ่ายรูปตอนก่อนใช้กับหลังใช้หนึ่งปี พบว่าริ้วรอยลดลงไปเยอะมาก จนเป็นที่ฮือฮากันไปทั่วโลก
ปัจจุบันมีการผลิตใช้ยานี้กันอย่างแพร่หลาย จนราคาไม่แพง และนำเข้ามาใช้เมืองไทยหลายปีแล้ว แต่คนที่ต้องการจะใช้ยานี้ต้องศึกษาให้ดีเสียก่อน เพราะถ้าใช้ไม่ระวังอาจมีผลข้างเคียงได้ ถ้าทายาตัวนี้ในช่วงเริ่มแรกอาจมีอาการระคายเคืองเป็นผื่นแดงได้ โดยเฉพาะคนที่ผิวแห้ง ดังนั้นต้องเริ่มจากความเข้มข้นต่ำๆ ก่อน และค่อยๆ เพิ่มความเข้นข้นให้สูงขึ้น เพื่อให้ผิวปรับสภาพก่อนจะได้ไม่ลอก ห้ามทายาตัวนี้ในเวลากลางวันเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดเป็นผื่นแพ้แดดได้ ต้องทาก่อนนอนเท่านั้นสารตัวนี้ถือว่าเป็นยา ไม่มีผสมในเครื่องสำอางตามท้องตลาดทั่วไป

ถ้าใครไม่ชอบผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้จากการทากรดวิตามินเอ แต่อยากลดริ้วรอย ยังมีสารที่ถือว่าเป็นญาติกับกรดวิตามินเอ คืออยู่ในตระกูลวิตามินเอเมือนกัน แต่สามารถผสมในเครื่องสำอางได้ เพราะผลข้าเคียงน้อยกว่า สารพวกนี้ได้แก่ เรตินอล และ เรตินิล เนื่องจากเป็นญาติๆ กันกับกรดวิตามินเอ พบว่าสารเหล่านี้เมื่อทาที่ผิวจะดูดซึมแล้ไปเปลี่ยนเป็นตัว Tretinion อีกที จึงสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เหมือนกัน แต่ผลข้างเคียงน้อยกว่า คือระคายผิวหน้าได้น้อยกว่า แต่ก็มีบ้างเหมือนกันันคนที่ผิวบอบบางระคายเคืองง่าย

สารอีกตัวที่ฮิตติดตลาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือ โคเอนไซม์ คิว 10 อันนี้เชื่อว่าผู้อ่านคงคุ้นเคยจากโฆษณาของครีมหลายๆ ยี่ห้อเป็นอย่างดี ตามธรรมชาติผิวของเรามีสารตัวนี้อยู่แล้ว โดยเป็นสารที่ให้พลังงานกับเซลล์ ถ้าอายุมากขึ้นพบว่าสารตัวนี้ที่เซลล์ผิวเราจะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนเป็นที่มาว่าการใช้สารโคเอนไซม์ คิว 10 น่าจะช่วยชะลอความแก่ได้ และยังพบว่าสารตัวนี้เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ คือถ้าได้รับแสงแดดมากๆ จะพบว่าที่ผิวมีสารคิว 10 ลดลงอย่างมาก ดังนั้นการทาหรือกินสารตัวนี้ก็อาจช่วยป้องกันการเสื่อมของผิวหนังที่เกิดจากแสงแดดได้ด้วย สารตัวนี้มีข้อดีที่ไม่ระคายเคืองผิวอย่างที่พบในกรดวิตามินเอ จึงเหมาะกับคนที่ผิวแพ้ระคายเคืองง่าย

วิตามินซี ก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการทำลายของผิวจากแสงแดดและมลพิษ ที่สำคัญ ไม่ค่อยระคายผิวและไม่ไม่ปฏิกิริยาต่อแสงแดด จึงสามารถทาได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เช่นเดียวกับโคเอนไซม์ คิว 10 วิตามินซี นอกจากจะช่วยลดริ้วรอยได้บ้างแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยทำให้ผิวหน้าขาวใสขึ้นได้อีกด้วย นอกจากการทาครีม การบำรุงเอาใจใส่ผิวแล้ว การดูแลจากภายในก็เป็นสิ่งสำคัญ การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะเป็นการช่วยเสริมให้ความชรายืนอยู่ห่างไกลจากตัวเราออกไปได้ค่ะ

หลัก 5 ประการ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอย

เชื่อว่าทุกๆ คนคงจะไม่อยากมีหน้าตาที่ดูแก่ก่อนวัยอันควร ใช่มั้ยคะ ได้จัดหา 5 เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณดูสยใส ไร้ริ้วรอยก่อนวัย มาฝากกันค่ะ ลองนำไปปฏิบัติเป็นประจำนะคะ จะได้สวยกันทุกคนค่ะ ^__^

1. แสงแดดมีภัย- ห่างไกลเสียดีกว่า พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) สูงสุด และหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ควรจะหาเกราะป้องกันให้กับผิวพรรณด้วยการทายากันแดดที่มีค่า SPF (Sun Protecting Factor) อย่างน้อย 15 ขึ้นไป โดยทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที ที่สำคัญคือควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีน้ำหอมเจือปน เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นเสมอ

2. หลีกเลี่ยงการทับ- รอยยับจะไม่เกิด ท่านอนนับเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการนอนท่าเดิมตลอดเวลาจะทำให้เกิดรอยย่นในด้านที่ถูกทับได้ ฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนท่านนอนบ่อยๆ และใช้หมอนทางเตี้ย เพื่อป้องกันผิวหนังย่นจากรอยทับ พยายามหลีกเลี่ยงการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เพราะจะให้รอยย่นเด่นชัดขึ้น และเมื่อต้องอยู่กลางแดดจ้า ก็ควรที่จะสวมแว่นกันแดด หมวกหรือกางร่ม เพื่อลดอาการหยีตาซึ่งจะเพิ่มรอยตีนกาบริเวณหางตาให้มากขึ้น

3. กันไว้ดีกว่าแก้ - ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น ผิวหนังของคนเราจะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่เกือบ 90% ที่เหลือจะเป็นส่วนของไขมัน และมอยส์เจอไรซิ่งแฟ็กเตอร์ (Moisturizing Factor) ซึ่งเป็นตัวอมน้ำไม่ให้ระเหยออกไปจากผิว ดังนั้นจึงควรมีการเติมอาหารให้ผิวด้วยโลชั่นหรือครีมที่มีส่วนผสม Moisturizer เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณเสมอ และควรให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนทดแทนในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นได้ดี

4. ใส่ใจอาหาร - ต่อต้านสิ่งเสพติด พยายามบังคับตนเองรับประทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีสาร Antioxidants (แอนตี้ออกซิแดนท์) ที่มีคุณสมบัติชะลอการเสื่อมของผิวหนังดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว และงดเว้นการสูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายเซลล์ผิวหนังให้เสื่อมเร็วกว่าวัยอันควร

5. พักผ่อน - ออกกำลังกาย - คลายเครียด การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ขณะที่การออกกำลัยกายก็มีความสำคัญในด้านที่จะช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดีขึ้นทำให้ผิวหนังได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ส่วนการทำจิตใจสดใสคลายเครียดนั้นก็เหมือนกับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว

จริงๆแล้วด้วยกฎเหล็ก 5 ประการนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการช่วยชะลอความแก่ให้กับผิวพรรณของคุณ เพียงแต่วิธีการเช่นนี้จะเห็นผลช้าไปเสียหน่อย โดยเฉพาะคนที่มีผิวหยาบกร้านมากเป็นพิเศษอาจจะต้องใช้เวลายาวนานเป็นปีก็ได้

ฉะนั้น...คุณผู้หญิงที่มีผิวหยาบกร้านเป็นพิเศษก็อาจต้องเพิ่มขึ้นตอนการบำรุงที่มากเป็นพิเศษช่วยด้วย โดยการจัดการกับเซลล์ที่กร้านหรือแก่ให้หลุดลอกออกไปให้ผิวใหม่เกิดขึ้นมาทดแทนด้วย ซึ่งนับเป็นวิธีการลบริ้วรอยความเหี่ยวย่นของผิวพรรณที่ค่อนข้างได้ผล