กลยุทธ์ในการดำเนินชีวิต

Life Strategy doing what works, doing what matter

From “Life Strategy doing what works, doing what matter” By Phillip C McGraw

1. You either get it or you don’t ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตามจะมีทั้งคนที่ประสบ ความสำเร็จ และคนที่ล้มเหลว คนที่จะประสบ ความสำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยความทุ่มเท และความเพียรพยายาม แต่สำหรับผู้ที่ทุ่มเทแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ ให้ลองวิเคราะห์ว่า หนึ่ง ท่านมีความรู้ในสิ่งที่ทำ อยู่เพียงพอหรือไม่ และคนอื่นที่อยู่ในวงการเดียวกับ ท่านเขารู้มากกว่าท่านหรือไม่ และสอง ท่านรู้จักมนุษย์รอบข้าง ดีพอหรือไม่ เนื่องจากในการทำงานนั้น ส่วนใหญ่เราจำเป็นต้องเกี่ยวพันกับคนอื่น บางคนจึงล้มเหลว เพราะขาดความเข้าใจในมนุษย์

กฎธรรมชาติเกี่ยวกับมนุษย์

  • มนุษย์ทั้งโลกกลัวการถูกปฏิเสธ ถ้าเราสามารถทำอะไรให้ใครได้โดย ไม่เดือดร้อน หรือไม่ผิดศีลธรรมเราก็ควรทำ
  • มนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับ ดังนั้นการสร้างความพันธ์กับคนอื่น จึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติกัน
  • มนุษย์มองสถานการณ์ต่างๆ จากหลักการของผลประโยชน์ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความถึง ในรูปของตัวเงินเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงประโยชน์ในด้านอื่นๆ ด้วย เช่นประโยชน์ด้านความพึงพอใจ เป็นต้น ดังนั้นในการทำกิจการใดๆ ให้ยึดหลัก Win Win Situation คือการได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
  • มนุษย์ชอบคุยแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ชอบฟังเรื่องของคนอื่น ดังนั้นให้ฝึกการเป็นนักฟัง
  • มนุษย์นั้นก่อนจะรับฟังและให้ความร่วมมือกับสิ่งใดๆ เขาจะต้องเข้าใจในสิ่งนั้นๆก่อน ดังนั้นเราจะต้องมีความสามารถใน การสื่อความให้อีกฝ่าย เข้าใจเราได้
  • มนุษย์มักจะไว้วางใจเฉพาะคนที่เขาชอบหน้าเรา ดังนั้นเราควรมีทัศนคติที่ดีต่อโลกและต่อมนุษย์ ไม่ตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว เขาก็ไว้เนื้อเชื่อใจเราเอง
  • มนุษย์ทุกคนมีการสวมหน้ากาก หรือ Social Mask คือทุกคนจะต้องมีบทบาทหน้าที่หรือสวมหัวโขนอยู่ สิ่งที่เราเห็นอาจ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง ดังนั้นให้มองเข้าไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาอย่าไปติดอยู่กับภาพที่เห็นแค่ภายนอก

2. You create your own experience ตัวเราเองเป็นคนกำหนดประสบการณ์ชีวิตของเรา และกำหนดได้ด้วยความคิด ดังนั้นอย่าโทษ ปัจจัยภายนอกว่าเป็นสิ่งที่มาทำให้เราผิดหวัง ผู้ที่เป็นนักปราชญ์จะต้องรู้ว่าควรหยิบเรื่องไหนมาคิด และจะหยิบเรื่องนั้นมาคิดในเวลาไหน ตัวเราเองมีส่วนอย่างมากในการกำหนดผลลัพธ์ของชีวิตเรา

3. Reciprocity หลักต่างตอบแทนหรือต่างปฏิบัติ นั่นคืออะไรกับใครเอาไว้ก็จะได้อย่างนั้น เช่นถ้าเราพูดจาสุภาพกับเขา เขาก็จะใช้คำสุภาพ กับเราดังนั้นถ้าเราอยากได้สิ่งใดจากผู้อื่นจงให้สิ่งนั้นกับผู้อื่นก่อน

4. You can’t change what you don’t acknowledge ปัญหานั้นๆ ได้ก่อน เช่น ต้องเกิดการยอมรับก่อนว่า เราเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เราจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

5. Life Rewards Action ชีวิตจะให้รางวัลกับคนที่ลงมือกระทำ สำหรับคนที่มีความคิดแต่ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติ ให้ใช้วิธีการ มรณานุสติ คือหมั่นถามตนเองว่าตอนนี้อายุเท่าไร และจะเหลือเวลาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกกี่ปี ถ้าไม่ทำตอนนี้จะไปทำตอนไหน เป็นต้น

6. ตัวเราเองที่เป็นคนให้ความหมายกับชีวิต บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ลำบาก แต่มีความอดทนใฝ่หาความรู้ จนชีวิตประสบความสำเร็จได้ แสดงให้เห็นว่าตัวเราเองที่เป็นคนให้ความหมายกับชีวิต

7. Life is manage not cure ชีวิตต้องมีการบริหารจัดการ มิใช่การหาทางแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา เราต้องเป็นผู้จัดการชีวิตของตนเอง และถามผู้จัดการชีวิตคนนี้ว่า ได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเรานี้ถึงที่สุดหรือยัง, ได้เคยช่วยสร้างโอกาสต่างๆ ให้ชีวิตบรรลุถึง วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือยัง, เคยได้ดูแลให้เกิดดุลยภาพระหว่างสุขภาพกาย จิต และอารมณ์หรือไม่ และสุดท้ายเมื่อเกิดปัญหา ผู้จัดการชีวิตคนนี้ใช้วิธีการแก้ปัญหาหรือหนีปัญหา คนส่วนใหญ่มักทำตัวเป็น Passenger หรือผู้โดยสารชีวิต คือปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไม่ Manage ชีวิต เพราะไม่ชอบการตัดสินใจ เนื่องจากในการตัดสินใจนั้นมีความเสี่ยง และต้อง get out of our comfort zone

8. There’s power in forgiveness การให้อภัยมีพลังเหนือ ความขุ่นใจอันเกิดจากความอาฆาตพยาบาท ความโกรธแค้น เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเจ็บป่วย แต่การให้อภัยมีพลังอำนาจที่สูงกว่า สามารถทำให้โรคภัยและความทุกข์ต่างๆ ได้ และยังสามารถพลิก ความสัมพันธ์ของเรากับคนที่เราโกรธจากสภาพร้ายสุดมาเป็นสภาพดีสุดได้ด้วย ดังพุทธโอวาทที่ “พึงชนะความโกรธ ด้วยการให้อภัย”

9. You have to name it to claim it การจะได้อะไรมานั้นเราจะต้องรู้จักกับสิ่งนั้นก่อน เช่นถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าลึกๆ แล้วชีวิตต้องการอะไร รู้หรือไม่ว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะตราบใดที่เรายังบอกไม่ได้ว่า สำหรับตัวเราแล้วอะไรคือ ความสุข อะไรคือความสำเร็จ ก็ไม่ต้องพูดถึงจุดทีเรียกว่า outcome เพราะจะกลายเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขาผิดลูก สรุปก็คือ คุณรู้หรือไม่ว่าก่อนจากโลกนี้ไป คุณต้องการจะบรรลุอะไร และอะไรคือเป้าหมายหลักของชีวิต

Resource : www.drboonchai.com

คิดอย่างมหาเศรษฐีอเมริกัน Sam Walton

Sam Walton..Made In America บทความที่นำเสนอมาจากหนังสือเรื่อง Sam Walton..Made In America แต่งโดย Sam Walton ผู้บุกเบิกธุรกิจ ห้างสรรพสินค้าขายปลีก (Supercenter store) รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ร้านค้าของ Sam Walton ตั้งอยู่ทุกหัวระแหงใน 50 รัฐทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา โดยรู้จักกันในชื่อว่า ร้านวอลมาร์ท (Wal-Mart) วอลมาร์ทเป็นร้านสรรพสินค้า ที่มีจุดเด่น คือ สินค้ามีความหลากหลาย มีคุณภาพ และมีราคาถูกกว่าร้านอื่น ๆ และที่สำคัญหากลูกค้าไม่พอใจสินค้าสามารถนำมาแลกคืนได้ทันที จากคุณสมบัติที่โดดเด่น ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ทำให้ร้านวอลมาร์ท ประสบความสำเร็จอย่างท่วนท้น จนเจ้าของกิจการอย่าง Sam Walton ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ความสำเร็จของวอลมาร์ท ไม่ได้หยุดอยู่แค่ใน สมัยของ Sam Walton แต่ยังสามารถสืบต่อสู่รุ่นลูกรุ่นหลานมาจนถึงปัจจุบัน จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียง บทสรุปของความสำเร็จ แต่กว่าจะมาเป็น Sam Walton ที่คนทั่วโลกรู้จัก เขาต้องเผชิญอะไรมาบ้าง มีรายละเอียด ดังนี้เบื้องหลังชีวิตของ Sam Walton

ความสำเร็จของ Sam Walton สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาอย่างแท้จริง เพราะตั้งแต่วัยเด็กเขายากจนมาก ไม่มีเงินจะเรียนหนังสือ ซ้ำยังเป็น เด็กกำพร้า แต่เขาก็ไม่เคยท้อถอยทำงานหาเลี้ยงตัวเอง เรียนไปทำงานไป ไม่เคยคิดว่าตนเองมีปมด้อยWalton คิดว่าเขาไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เขาสามารถเลือกที่จะมีชีวิตเป็นของตนเองได้ ตั้งแต่เล็กเขามีความใฝ่ฝันที่จะเป็นเซลล์แมน เพราะเป็นอาชีพ ที่รวยที่สุดในสมัยนั้น เขาจึงเริ่มฝึกฝนตัวเอง โดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเพื่อฝึกทักษะในการเข้าสังคม
เมื่ออายุได้ อายุ 32 ปี Walton เริ่มทำธุรกิจครั้งแรกในรัฐอาร์คันซอโดยการเปิดร้านค้าเล็ก ๆ จุดขายของร้านคือสินค้าดี ราคาถูก และมีความหลากหลาย เขาตั้งเป้าหมายไว้ว่าร้านจะต้องได้กำไรสูงสุดภายในห้าปี โดยWalton มีวิธีการสำคัญในการลดต้นทุนของสินค้า คือการเข้มงวดเกี่ยวกับรายจ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นราคาต้นทุนสินค้าและการใช้จ่ายเงินของลูกน้อง การเข้มงวดเรื่อง รายจ่ายจะทำให้ลูกน้อง ไม่กล้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและบริษัทผู้ผลิตไม่กล้าเสนอ ราคาสินค้าที่สูงมากนัก และจากที่เขาเคยยากจนมาก่อนจึงรู้ซึ้งถึงค่าของเงินทำให้ Walton ต่อรองราคาสินค้าเก่งมากจนเป็นที่ยอมรับกัน ในกลุ่มของบริษัท ผู้ผลิตสินค้าทั่วไป และเนื่องจากร้านค้าของเขาเพิ่งเปิดใหม่ ยังไม่เป็นที่รู้จัก มากนัก Walton จึงเข้าร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับคนในชุมชนเพื่อให้คนรู้จักร้านค้าของเขามากยิ่งขึ้น

จากที่กล่าวมาข้างต้น ร้านค้าร้านแรกของ Sam Walton ดูท่าจะไปได้ดีแต่สุดท้ายโชคกลับไม่เข้าข้าง เจ้าของที่ดินกลับไม่ยอมต่อสัญญาเช่า ความฝันที่จะสร้างร้านค้าที่ดีที่สุดจึงต้องล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่า ความล้มเหลวครั้งนี้ทำให้Sam Walton หยุดทำธุรกิจไปถึง 12 ปี ในระหว่างนั้นเขาได้ใคร่ครวญถึงธุรกิจที่ผ่านมาและขบคิดยุทธวิธีใหม่ ๆ จนกระทั่งเมื่ออายุ 44 ปี เขาได้กลับมาผงาดในวงการธุรกิจอีกครั้ง โดยการเปิดร้านWal-Mart ขึ้นเป็นแห่งแรก และขยายสาขาออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นจำนวนกว่า 40 สาขาต่อปี

เบื้องหลังความสำเร็จของ Sam Walton

  1. คิดนอกกรอบ ส่วนใหญ่ห้างสรรพสินค้ามักจะตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ Walton เล็งเห็นถึงปัญหาเรื่องที่จอดรถ ค่าเช่าที่ราคาสูง และมีอัตราการแข่งขันสูง เขาจึงฉีกมุมออกไปโดยการเปิดร้านตามชานเมืองเพราะมีที่จอดรถกว้างขวาง ค่าเช่าที่ก็ไม่แพง อีกทั้งยังมีคนมาตั้งร้านไม่มากนัก จึงทำให้ร้านวอลมาร์ทมีส่วนแบ่งทางการตลาดสินค้าขายส่งตามแถบชานเมืองมากที่สุด
  2. มีเป้าหมายชัดเจน จุดเด่นที่ชัดเจนของร้านวอลมาร์ทคือสินค้าคุณภาพดี และเน้นที่ราคาถูกกว่าร้านอื่น ดังนั้น การตกแต่งร้านจึงเป็น แบบเรียบง่ายไม่หรูหรา เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจะได้นำงบประมาณส่วนนี้มาชดเชย กับราคาสินค้าที่ต้อง กดลงให้ต่ำกว่าร้านอื่น ๆ
  3. ประเมินตลาดและคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร้านวอลมาร์ทจะเป็นที่นิยมแล้วก็ตามแต่ Sam Waltonก็ไม่ชะล่าใจคอยสำรวจ ราคาสินค้าของร้านคู่แข่ง อยู่ตลอดเวลาด้วยวิธีการอันหลากหลาย เช่น การไปสืบราคาตามร้านต่าง ๆ ด้วยตนเอง หรือไปค้นตาม กล่องสินค้าที่เขาทิ้งแล้ว และการผูกมิตรกับพนักงานส่งของเพื่อสืบข้อมูลสินค้าจากร้านอื่น ๆ เป็นต้น
  4. พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา Sam Walton จะคอยศึกษาวิธีการทำงานและการดำรงชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จอยู่ตลอดเวลา เพื่อมาปรับใช้กับชีวิตของตนเอง
  5. รู้จักคัดสรรพนักงาน พนักงานที่ดีในสายตา Sam Walton ไม่จำเป็นต้องจบตรงตามสาขาที่ต้องการก็ได้ ขอเพียงแต่มีความขยัน ซื่อสัตย์ และมีความเอาใจใส่อยากที่จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง
  6. สร้างความกระตือรือร้นให้กับพนักงานทุกคน โดยการ 1) ไปตรวจเยี่ยมตามสาขาต่าง ๆ โดยไม่บอกล่วงหน้า 2) ผู้จัดการทุกคนจะต้องเข้าประชุมทุกวันเสาร์เวลา 7.30 น. เพื่อเสนอความคิดเห็น ปัญหาที่เกิดขึ้น และหนทางแก้ไข และหากสาขาไหนมีผลงานดีจะมีการนำเสนอในที่ประชุม
  7. ดูแลพนักงานอย่างดี เช่น มีการฝึกงานและจัดแข่งขันกีฬาเพื่อสร้างความกลมเกลียวในองค์กร
  8. สรรหาบุคลากรด้วยตนเอง โดยการไปเรียน MBA ด้วยตนเอง เพื่อไปคัดเลือกและชักชวนคนที่มีความสามารถมาทำงานให้กับองค์กร
  9. รู้จักสอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน Sam Walton สอนให้ลูกรู้จักทำงานหนัก โดยการให้มาจัดของเข้าร้านในวันหยุด จะได้เข้าใจถึง ความยากลำบากของพนักงานในองค์กร เพื่อเป็นรากฐานในการสืบทอดกิจการสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป

ในปี 1991 Sam Walton ได้รับเหรียญกิตติมศักดิ์ The Presidential Medal of Freedom ซึ่งเป็นตราสูงสุดที่องค์กรเอกชน พึงจะได้รับจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และได้รับการกล่าวสดุดีว่า “Sam Walton เป็นบุคคลตัวอย่างที่เป็นเสมือน สัญลักษณ์แห่งความฝันและความสำเร็จของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง เพราะเขาเริ่มต้นจากที่ไม่มีอะไรเลย แต่ด้วยความอุตสาหะวิริยะทำให้เขามีวันนี้ และสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพียงเพื่อธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นการสร้างอาชีพ สร้างสรรค์สินค้าที่ดีที่สุด และคืนสิ่งดี ๆ สู่สังคมโดยการบริจาคเงินทุนเพื่อพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่องเสมอมาอีกด้วย ” จากเรื่องราวทั้งหมดของ Sam Walton คงจะเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า แม้คนเราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะมีเส้นทางชีวิตเป็นของตนเองได้ ขอเพียงแต่มีความมุ่งมั่น และความเพียรพยายามความสำเร็จคงอยู่แค่เอื้อม

 

ชีวิตที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเคล็ดลับขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย และเป็นความจริงที่ว่าเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราเอง เป็นคนเลือกเส้นทางชีวิต และนั่นคือสิ่งที่ยากที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางที่กำลังเดินนั้นจะนำเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการรึเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น การที่เรารู้กฎเกณฑ์การใช้ชีวิต จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจากเวลาทุก ๆ นาที เพราะกฎเหล่านี้เปรียบเสมือนแผนที่ชีวิตในการใช้เวลา เพื่อเลือกลงมือทำในสิ่งที่สำคัญตรงตามเป้าหมายในชีวิตของเรา


กฎข้อ 1 เราคือ คนเลือกที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จ หรือผู้ที่ล้มเหลว


ถ้าเราสังเกตดูดี ๆ จะพบกับความจริงที่ว่า ในชีวิตเรามีเส้นทางให้เราเลือกเดินเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ เส้นทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ กับเส้นทางที่นำเราไปสู่ความล้มเหลว สำหรับเส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และไม่มีคำว่า " บังเอิญ " สำหรับความสำเร็จ แต่ต้องการอาศัยความพากเพียรอย่างหนักและต่อเนื่อง ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะยอมแพ้เสียก่อน ดังนั้น ถ้าเราเลือกเส้นทางที่นำเราไปสู่ความสำเร็จ วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ศึกษาว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จเขามีเส้นทางในการดำเนินชีวิตอย่างไร เช่น ถ้าอยากเป็นนักธุรกิจ ก็ต้องมีการศึกษาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่เราทำอย่างละเอียดลุ่มลึก เป็นต้น สำหรับบางคนที่คิดว่าตัวเองได้พยายามแล้วแต่ก็ยังล้มเหลวอยู่ ขอให้ไตร่ตรองประเด็นที่จะกล่าวถึงอย่างละเอียด แล้วท่านเองคือผู้เลือกที่จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
ลักษณะของผู้ที่ล้มเหลว
1. มีข้อมูลน้อยเกี่ยวกับเป้าหมาย เช่น ในการนำสินค้ามาขาย จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการตลาด รู้จักกลุ่มเป้าหมาย รู้แนวโน้มของเศรษฐกิจ เพราะถ้าขาดความรู้ ขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย โอกาสที่จะล้มเหลวก็ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
2. ขาดทักษะในการเข้าใจผู้อื่น ซึ่งมีกฎเกณฑ์ตายตัวที่มนุษย์ทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกัน ดังนี้
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนกลัวมากที่สุด คือ กลัวการถูกปฏิเสธ ฉะนั้นเมื่อคนที่เราต้องคบค้าติดต่อ ขออะไรแล้วเราให้ได้ยอมได้ก็ควรให้ เพื่อรักษามิตรภาพเอาไว้

กฎข้อ 2 เราคือผู้สร้างประสบการณ์ให้ตัวเราเอง

 

เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน เราก็ยังคงเป็นผู้เลือกที่จะสุขหรือทุกข์ต่อเหตุการณ์หนึ่ง ๆ ฉะนั้น ถ้าเราอยากมีความสุข เราจะไม่ปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกควบคุมพฤติกรรม ความคิด ความรู้สึกของเรา เพราะเราคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือกที่จะ " สุข " หรือ " ทุกข์ "
ดังนั้น เราทุกคนมี เสรีภาพในการเลือก บนโลกใบนี้มีทางเลือกให้เราเลือกมากมาย แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่กล้าที่จะเลือกเส้นทางใหม่ ๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ชีวิต ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถเลือกได้ตลอด เช่น ในหนึ่งวัน เราก็เลือกได้ว่าจะไปไหน ทำอะไร ให้ความสนใจอะไร สมมติถ้าเราอยู่กับคน 100 คนเราก็เลือกได้ว่าจะเลือกไว้วางใจใคร ฟังใคร ไม่สนใจใคร จะเห็นด้วย หรือจะคัดค้านในใจ เป็นต้น

กฎข้อ 3 ปฏิกิริยาต่างตอบแทน


อาจมีคนสงสัยว่า เราจะเลือกประสบการณ์ของเราได้จริง ๆ หรือ คำตอบก็อยู่ในกฎข้อนี้ คือ ขึ้นอยู่กับหลักต่างปฏิบัติ ต่างตอบแทนเท่าเทียมกัน เช่น เมื่อมีคนพูดจาไม่ดีกับเรา แล้วเราพูดกับเขาอย่างไร เราเลือกที่จะโต้ตอบในแบบเดียวกับเขา หรือ เลือกที่จะพูดอ่อนหวานกลับไป แน่นอนประสบการณ์ที่เราเลือก ก็คือผลจากการกระทำของเรานั่นเอง ดังนั้น ถ้ามองดี ๆ ตัวเราเองเป็นคนเชื้อเชิญปฏิกิริยาภายนอก เช่น เราไม่ยิ้มให้ เขาก็ไม่ยิ้มให้เรา เป็นต้น และแต่ละคนก็จะมีวิธีการปฏิบัติกับผู้อื่น ที่แตกต่างกันไป เพื่อช่วยให้หายสงสัยว่าทำไมโลกจึงได้ปฏิบัติกับคุณในแบบต่าง ๆ ขอยกตัวอย่างคนประเภทต่าง ๆ เช่น

  • คนที่คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด มักจะเป็นคนไม่มีน้ำใจ ซึ่งทำให้เพื่อน ๆ ไม่ค่อยชอบ และเมื่อไหร่ที่คนประเภทนี้พบกับความทุกข์ก็จะไม่มีใครเข้ามาให้กำลัง เพราะท่านไม่เคยใส่ใจ หรือใยดีใคร
  • คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับการไว้วางใจจากคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่า คนเหล่านี้ทำตัวเป็นคนอ่อนแออยู่ตลอดเวลา บ่นถึงปัญหาส่วนตัว ร้องไห้เสียใจ เมื่อคนอื่นเห็นก็เกิดความไม่ไว้วางใจ จึงไม่มอบหมายงานให้เรา เพราะพฤติกรรมของเราเองคือตัวกำหนด
  • คนที่คิดว่าตัวเองไม่เคยได้รับการช่วยเหลือ คนเหล่านี้มักมีลักษณะ เป็นพวกหนีปัญหาไปวัน ๆ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่คิดแก้ปัญหาของตัวเองอย่างจริงจัง ซึ่งตามปกติคนเราจะช่วยเหลือคนที่ช่วยเหลือตัวเองอย่างที่สุดก่อน ดังนั้น ถ้าเรายังไม่สามารถดึงศักยภาพในตัวมาใช้แก้ปัญหาแบบสุด ๆ ก็อย่าหวังได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น และยังใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย หรือหนีปัญหาไปวัน ๆ


กฎข้อ 4 จะแก้ไขปัญหาได้ต่อเมื่อเรายอมรับความจริงได้


ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ คือ การยอมรับว่าเกิดปัญหา ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่กล้ามองปัญหา ไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองคือสาเหตุของปัญหา นอกจากปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ก็เหมือนยิ่งไปสร้างปมปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นอีก ความทุกข์นั้นก็ยังแต่จะก่อให้เกิดความทุกข์ต่อไป เช่น เป็นผู้บริหารแต่ไม่ยอมรับว่า ตัวเองบริหารงานไม่เก่ง ก็ย่อมทำให้บริษัทขาดทุน แต่ถ้ายอมรับได้ ก็จะเกิดทางแก้ไข อาจไปจ้างมืออาชีพมาทำแทน เป็นต้น ดังนั้น การกล้าที่จะยอมรับความจริง คือ การเริ่มต้นแก้ปัญหา

กฎข้อ 5 ชีวิตนี้ให้รางวัลกับการกระทำเสมอ

มีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเอง เป็นนักคิดที่ชาญฉลาดแต่ทำไมชีวิตยังอยู่ห่างจากเป้าหมายที่ต้องการเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะ คุณไม่เคยลงมือทำ และเป็นความจริงที่ว่า โลกใบนี้ไม่สนใจคนที่มีความคิดดี แต่จะสนใจการกระทำที่ดีมากกว่า ดังนั้น ถ้าคุณมีความคิดดี ๆ เมื่อไหร่การลงมือทำ เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการ
สำหรับบางคนที่คิดอย่างรอบคอบแล้ว แต่ยังไม่มีแรงหรือกำลังมากพอที่จะสานฝันให้กลายเป็นจริง ทางแก้ คือ ให้ถามตัวเองทุกวันว่า ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ? เหลือเวลาในชีวิตอีกกี่ปี ? ถ้าไม่รีบลงมือตอนนี้อาจไม่ทันการณ์ ?
และถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่จะทำมันยาก จึงทำให้คุณเกิดความกลัว ไม่กล้าลงมือทำ แสดงว่าคุณยังขาดความเข้าใจว่า ชีวิตนี้เป็นเรื่องยาก แต่ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินความสามารถถ้าคุณปรารถนาสิ่งนั้นจริง ๆ

กฎข้อ 6 ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ให้รับรู้อย่างเดียว

เราเป็นคนเลือกที่จะให้ความหมายกับชีวิตของเราเอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น หรือคิด เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สมมติขึ้น และความทุกข์จริง ๆ ก็ไม่มี มีแต่ความคิดของเราที่ตีความเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนั้น ถ้าเราอยากให้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความสุข เราก็เลือกมองแต่เรื่องดี ๆ งาม ๆ แทนการมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ใช้ตีความต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีวิธีการสร้างมุมมองแบบ Positive ง่าย ๆ ดังนี้

  • เขียนบันทึกสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นกับคุณในแต่ละวัน ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม เช่น ตื่นมารู้สึกดีที่วันนี้ ฝนไม่ตก เป็นต้น
  • ค้นหาความหมายใหม่ ๆ ให้กับชีวิตอยู่เสมอ ๆ ซึ่งจะช่วยทำให้เรามีพลังชีวิตมากขึ้นอีกด้วย เช่น มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นความหวังให้พ่อแม่ เป็นต้น

 

กฎข้อ 7 ชีวิตต้องการการบริหารจัดการจะปล่อยไปตามชะตากรรมไม่ได้


คนส่วนใหญ่มักตามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยมองข้ามความจริงที่ว่า ชีวิตต้องการการจัดการ ควรมีการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อป้องกันปัญหาไว้ล่วงหน้า ในการวางแผนเราต้องพูดคุยกับผู้จัดการชีวิตของเรา ซึ่งก็คือ ตัวเราเอง โดยการตั้งคำถามกับตัวเอง ดังนี้

  • เราได้เคยค้นหาและดึงเอาศักยภาพสูงสุดของเราออกมาใช้เพื่อก่อประโยชน์หรือยัง ?
  • เราเคยหาทางสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชีวิตหรือไม่ ?
  • เราเป็นคนที่อดทนต่อปัญหาอย่างเดียว หรือแก้ปัญหาได้ด้วย ?


ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนที่กล้าแก้ปัญหาต้องกล้าที่จะตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่สบาย ๆ ซึ่งก็หมายความว่า คุณเลือกที่จะเป็นผู้แพ้ แต่ถ้าคุณพอใจกับสถานะดังกล่าวก็ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงคุณได้

กฎข้อ 8 พลังอำนาจของการให้อภัย

ในบรรดาอารมณ์ทั้งหมดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกเบื่อ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นต้น ความโกรธ คืออารมณ์ที่ทรงพลังและทำให้มนุษย์เป็นทุกข์มากที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือนการจุดไฟเผาผลาญตัวเอง จะรู้สึกร้อนรนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในกองเพลิงแห่งความโกรธเกลียดอาฆาต หมดพลังงานไปอย่างเปล่าประโยชน์ ซึ่งถ้ายังไม่สามารถออกจากกองไฟแห่งความอาฆาตนี้ได้ ในที่สุดจะพบว่าคุณได้เผาผลาญโอกาสแห่งความสำเร็จของคุณหมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงที่ว่างสำหรับความล้มเหลวเท่านั้น ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยากทำลายชีวิตตัวเองด้วยความโกรธ ก็จงมอบความรักให้กับคนอื่น ๆ บ้าง ก็เพราะ ความอาฆาตพยาบาท เป็นสิ่งที่ละวางได้ยากมาก การให้อภัยจึงเป็นหลักการสำคัญสำหรับความเป็นผู้นำ

กฎข้อ 9 คนเราจะได้อะไรมาอย่างน้อย ๆเราต้องรู้จักสิ่งนั้นก่อน ต้องเรียกมันให้ถูกก่อน

คนที่จะประสบความสำเร็จได้ขั้นแรก ต้องรู้จักตัวเองเป็นอย่างดี จึงจะรู้ว่า ตัวเองต้องการอะไรจากชีวิต ในการสร้างอนาคตให้ตัวเอง จำเป็นต้องสร้างเป็นภาพ ต้องเห็นภาพตัวเองในอนาคตให้ได้ จึงจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ซึ่งความต้องการหรือเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันไป บางคนอยากเป็นนักการเมือง บางคนอยากเป็นเจ้าของโรงแรม เป็นต้น สำหรับการหาcore value มีอยู่ 2 ประเภท คือ ตามกระแส หรือทวนกระแส ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ดังนั้น หัวใจสำคัญที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จ คือ การรู้จักตัวเอง เพราะถ้าคุณวางแผนชีวิตอย่างดี แผนนั้นอาจทำให้คุณหลงทางเป็น สิบ ๆ ปีก็ได้ถ้าคุณขาดความเข้าใจตัวเอง

2.สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือ ต้องการเป็นที่ยอมรับให้เกียรติจากผู้อื่น ต้องการ รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ และเคารพในความเป็นมนุษย์

3. มนุษย์ทุกคนมองทุกเรื่องจากมุมมองของประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องเงินทอง อาจเป็นเรื่องอุดมการณ์ ดังนั้น เมื่อเราต้องการให้ใครทำงานอะไร ต้องชี้ให้เขาเห็นว่าจะได้รับประโยชน์อะไรจากการทำงานนั้น ๆ
4. มนุษย์ทุกคนจะทำงานได้เต็มที่ต่อเมื่อเข้าใจในสิ่งที่จะต้องทำ เพราะถ้าเขาไม่เข้าใจต่อให้เขาอยากทำก็ทำไม่ได้ ก่อให้เกิดความขัดข้องใจ ดังนั้น วิธีการให้งานควรบอกรายละเอียดให้ชัดเจนเพราะลูกน้องไม่ว่าจะเก่งเพียงไร ก็ไม่อาจอ่านใจเจ้านายได้ และลึก ๆ ไม่มีลูกน้องคนไหนไม่อยากให้งานออกมาไม่ดี
5. เวลามองคนให้มองในเรื่องคุณภาพ มองที่ความรู้ความสามารถ เราไม่ควรมองคนแค่ภายนอกหรือชาติวงศ์ตระกูล
6. คนเรามักไว้วางใจบุคคลที่รักชอบพอเรา เวลาเราไม่เกลียดใครเขาก็จะไว้วางใจเรา แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกอิจฉาริษยา อีกฝ่ายก็ไม่ไว้ใจเรา เพราะจิตอีกดวงหนึ่งสามารถรู้สึกได้ บางครั้งไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่จะมีความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้น
7. มองคนให้ลึกถึงจิตใจ โดยใช้ความรู้สึกของเราเป็นเครื่องตรวจสอบ เพราะมนุษย์ทุกคนมีหน้ากาก หลายชั้น ดังนั้นเราไม่ควรมองคนแค่ภายนอก เพราะคนที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสพูดจาดี แต่อาจมีจิตใจโหดร้ายก็ได้หรือบางคนหน้าตาเรียบเฉย แต่ในใจเขาอาจดีก็ได้ ดังนั้น เราต้องมองคนที่จิตใจมิใช่เพียงหน้าตา

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สาสน์จากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008นี้


คุณใช้เวลาในการอ่านและคิดตาม เพียง 2-3 นาทีเท่านั้น

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต


1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอัน มหาศาลดุจกัน
2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน
3. จงปฏิบัติตาม 3Rs
3.1 เคารพตนเอง (Respect for self)
3.2 เคารพผู้อื่น (Respect for others)
3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)
4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์
5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม
6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ
7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข
8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน
9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป
10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง
12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต
13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต
14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ
15. จงสุภาพกับโลกใบนี้
16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง
17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่
18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ
19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง