ลงทุนทองคำ 6 แบบ 6 สไตล์

ลงทุนทองคำ 6 แบบ 6 สไตล์ 21 มกราคม 2553 เวลา 14:39 น.

ทองยิ่งขึ้นยิ่งดึงดูดให้มีการลงทุนหวังผลกำไรในทองมากขึ้น วันนี้เราจะแนะนำการลงทุนในทองคำ 6 รูปแบบที่น่าสนใจ

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์

มาถึงตอนนี้คงไม่ต้องพูดพร่ำให้เปลืองพื้นที่ว่า ทำไมทองคำถึงได้น่าลงทุน แต่ถ้าคิดจะลงทุนทองคำ คงต้องถามตัวเองก่อนว่า ชอบการลงทุนในรูปแบบไหน เพราะมีให้เลือกกันถึง 6 แบบ 6 สไตล์

ทองรูปพรรณ

แม้ว่า ทองรูปพรรณ จะถูกตราหน้าว่าไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะกับการลงทุนนัก เพราะมีต้นทุนสูง แต่ไม่มีใครห้ามถ้าเครื่องประดับสีทองอร่าม จะทำหน้าที่เป็น เครื่องมือการออม ที่สามารถนำออกมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันทีที่ต้องการเหมือนที่ปู่ย่าตายายเขาทำกันมา

“ต้นทุน” ที่ทำให้ทองคำรูปพรรณอาจจะไม่ใช่การลงทุนทองคำที่ดีที่สุด คือ ค่ากำเหน็จ หรือ ค่าแรงในการทำให้ทองคำแท่งกลายเป็นทองคำรูปพรรณที่มีความสวยงามในฐานะเครื่องประดับ ทำให้ราคาขายทองคำรูปพรรณสูงกว่าราคาขายทองคำแท่ง ขณะที่ เมื่อนำไปขาย ทองคำรูปพรรณยังถูกกดราคามากกว่าทองคำแท่งอีก

ตัวอย่างราคาทองคำที่สมาคมค้าทองทำประกาศไว้เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ทองคำแท่ง ขายออก 15,650 และ รับซื้อคืน 15,550 บาท มีส่วนต่างแค่ 100 บาท หรือ ไม่ถึง 1% แต่ถ้าเป็นราคาทองคำรูปพรรณ ราคาขายออก 16,050 บาท และ รับซื้อคืน 15,326 บาท ราคาต่างกันถึง 724 บาท หรือคิดเป็นต้นทุน 4.72% ต่อทองคำ 1 บาท

นอกจากนี้ ยังมี ค่าสึกหรอ จากการใช้งาน เพราะทองคำที่ผ่านการใช้งานจะมีน้ำหนักทองคำลดลงไปบ้าง เมื่อนำไปขายให้กับร้านทอง ทางร้านจะนำไปช่างน้ำหนักแล้วตีราคาตามน้ำหนักทองที่เหลืออยู่ ที่ทุนอาจจไม่หายไปไหน แต่กำไรที่จะได้ก้หดไปเยอะเลย

ทองคำแท่ง

การลงทุนในทองคำแท่งน่าจะเป็นการลงทุนในทองคำที่น่าจะได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะซื้อง่ายขายสะดวกแล้ว ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย หรือ ต้นทุนการลงทุน ต่ำกว่าทองคำรูปพรรณ

โดยทั่วๆ ไป ทองคำแท่งที่ลงทุนกันจะมี 2 แบบ คือ ความบริสุทธิ์ 96.5% และ 99.99% ซึ่งประเทศไทยนิยมการลงทุนในทองคำ 96.5% ขณะที่ต่างประเทศจะนิยมลงทุนทองคำ 99.99%

ถ้าเป็นทองคำแท่ง 96.5% ขนาดเล็กที่สุดที่นิยมซื้อขายกันจะมีน้ำหนักทอง 5 บาท ขยับขึ้นเป็น 10 บาท 20 บาท และ 50 บาท แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง 99.99% น้ำหนักทองเริ่มต้นที่จะสามารถลงทุนได้อยู่ที่ 100 กรัม 10 บาท 20 บาท และ 1 กิโลกรัม แต่โดยมากมักจะลงทุนกันที่ 1 กิโลกรัม

ห้างทองแม่ทองสุก แนะนำนักลงทุนไว้ว่า สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในทองคำ 99.99% ควรจะเริ่มต้นจากทองคำแท่ง 96.5% เสียก่อน เพราะมีการประกาศราคาที่เป็นมาตรฐานจากสมาคมค้าทองคำ แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง 99.99% อาจจะเหมาะกับนักลงทุนที่คุ้ยเคยกับการลงทุนทองคำแท่งอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ทองคำแท่ง 99.99% ยังใช้เงินลงทุนสูงกว่าทองคำแท่ง 96.5% ซึ่งทางห้างทองแม่ทองสุก ระบุว่า ถ้าจะลงทุนทองคำแท่ง 96.5% มีเงินสัก 2 แสนบาท ก็สามารถทำได้แล้ว แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง 99.99% อาจจะต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 1 ล้านบาท

เหรืยญทองคำ

ถ้าพูดถึง “เหรียญทองคำ” นักลงทุนทองคำในประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่ถ้าเป็นนักลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะนักสะสมทองคำ จะนิยมการลงทุนในเหรียญทองคำ โดยเหรียญทองคำที่เป็นสุดยอดปรารถนาของนักสะสมเหรียญทองคำทั่วโลก เช่น South African Krugerrand, Canadian Maple Leaf, Australian Gold Nugget, American Gold Eagle หรือ U.S. Eagles

นั่นเพราะนอกจากจะจะซื้อขายเหรียญทองคำได้ตามน้ำหนักของเหรียญแล้ว นักสะสมยังจะได้กำไรจากความนิยมในตัวเหรียญอีกด้วย ทำให้เมื่อบวกกันแล้ว เหรียญทองคำมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่าการลงทุนในทองคำแท่งเสียอีก

เหรียญทองคำของสหรัฐอเมริกา ที่นักสะสมเรียกว่า Double Eagle ออกมาเมื่อปี 1907 หรือ พ.ศ. 2450 ราคา 20 เหรียญสหรัฐ ซึ่งในขณะนั้น ทองคำซื้อขายกันอยู่แถวๆ 20 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เช่นกัน แต่วันนี้เหรียญทองคำ Double Eagle ซื้อขายกันอยู่ประมาณ 1,250 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาทองคำแท่งยังลุ้นกันอยู่ว่า จะวิ่งไปถึง 1,000 เหรียญสหรัฐ หรือไม่

แต่ไม่ใช่เฉพาะเหรียญทองคำของต่างประเทศเท่านั้นที่จะเป็นการลงทุนทองคำที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนทองคำแท่ง เพราะเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ชนิดทองคำ หรือ เหรียญทองคำ ของไทยก็ให้ผลตอบแทนที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน

ร.ต.อ.กุศิก มโนธรรม นายกสมาคมเหรียญกษาปณ์แห่งประเทศไทย และ จักรฤกษ์ ธรรมโชโต ประธานชมรมนักสะสมเหรียญ เคยบอกไว้ตรงกันว่า การลงทุนเหรียญทองคำจะไม่มีขาดทุน เพราะมีทั้งราคาทองคำ และ ราคาหน้าเหรียญเป็นประกัน

“ลงทุนทองคำ มีทั้งโอกาสกำไรและขาดทุน แต่ถ้าเป็นเหรียญทองคำ ต่อให้ราคาทองคำตกไปจากวันที่ซื้อ ก็ยังมีราคาหน้าเหรียญเป็นเครื่องค้ำประกัน แต่ถ้าราคาทองขึ้น ราคาเหรียญก็ขึ้นไปด้วย และมีโอกาสขึ้นได้มากกว่าราคาทอง” จักรฤกษ์ กล่าว

เหรียญกษาปณ์ทองคำที่ระลึกมหามงคลพระชนมพรรษา 60 หรือ เหรียญ 60 พรรษา ที่ออกมาเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2530 น้ำหนักทองคำ 1 สลึง ราคาหน้าเหรียญ 1,500 บาท พอมาถึงวันนี้ ที่ราคาทองคำถึงไปบาทละมากกว่า 15,000 บาท หรือ สลึงละไม่ถึง 4,000 บาท แต่ในวงการนักสะสมเหรียญซื้อขายเหรียญนี้กันอยู่ที่ 8,000 บาท (อ้างอิงจาก www.mpcoin2007.com)

นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีเหรียญทองคำที่ร้านค้าทองเป็นผู้ผลิต ซึ่งแม้ว่า ไม่ได้อยู่ในข่ายเดียวกับเหรียญทองคำ ที่ออกโดยรัฐบาล แต่น่าจะเหมาะกับนักลงทุนทองคำมือใหม่ ทุนน้อย แต่อยากลงทุนทองคำแท่ง เพราะสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ทองคำน้ำหนัก 1 บาท และ 2 บาท ความบริสุทธิ์ 96.5%

บุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานกรรมการ บริษัท ออสสิริส ผู้ผลิต “เหรียญออสสิริส” บอกว่า การผลิตเหรียญทองคำที่มีน้ำหนักน้อยออกมา เพื่อเป็นทางเลือก ให้กับคนที่ต้องการออมเงินในรูปของทองคำ

เหรียญทองคำเป็นกึ่งกลางระหว่างทองรูปพรรณที่สามารถใช้ประโยชน์ในฐานะที่เป็นเครื่องประดับ และ เป็นการลงทุนแบบทองคำแท่ง แม้จะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าทองคำแท่ง แต่ยังถูกกว่าทองรูปพรรณ
ถ้าเป็นเหรียญทองคำน้ำหนัก 1 บาท จะต้องบวกค่าธรรมเนียมจากราคาทองคำที่สมาคมค้าทองคำประกาศ 150-200 บาท และ 200-250 บาท สำหรับเหรียญขนาด 2 บาท

หุ้นเหมืองทอง

ในบางช่วงบางเวลา หุ้นเหมืองทอง (ในต่างประเทศ) เช่น Barrick Gold Anglogold หรือ IAMGOLD น่าสนใจกว่าการลงทุนทองคำโดยตรง แถมยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนทองคำเสียอีก เพราะต้นทุนการผลิตต่ำลง แต่ขายทองคำได้ราคาดีขึ้น

แต่ในประเทศไทยมี “หุ้นเหมืองทองคำ” เพียงตัวเดียวในตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ (THL) ซึ่งเป็นหุ้นในใจของนักลงทุนรายย่อย ที่นิยมการซื้อขายทำกำไรระยะสั้น แต่นักลงทุนหลายคนกลับตั้งชื่อเล่นให้หุ้นตัวนี้ว่า “คาทุ่ง”

บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ มีบริษัทลูกชื่อ ทุ่งคำ ที่ได้สัมปาทานเหมืองทองใน จ.เลย แต่จากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2552 ปรากฎว่า ขาดทุน 61 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 0.08 บาท แถมผู้ตรวจสอบบัญชียังไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินนี้ เพราะมีขอบเขตจำกัดในการสอบทาน

พอเข้าไปดูบทวิคราะห์ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ในเว็บไซต์การเงินอันดับหนึ่ง settrade.com มี บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ เพียงแห่งเดียวที่ออกบทวิจัยหุ้นตัวนี้มา (เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2552) โดยแนะนำให้ “ขาย” โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 0.84 บาท ขณะที่ราคาปิดในกระดานเมื่อวันที่ 28 พ.ค. อยู่ที่ 1.26 บาท

พร้อมกับประมาณการกำไรปี 2552 ไว้ที่ 33 ล้านบาท และ 99 ล้านบาท ในปี 2553 โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.04 บาท ในปีนี้ และ 0.13 บาท สำหรับปี 2553 ขณะที่มีราคาต่อกำไร (PE) สูงถึง 31.5 เท่า

กองทุนทองคำ

กองทุนทองคำ ก็เหมือนกับกองทุนประเภทอื่นๆ คือ รวบรวมเงินจากนักลงทุนรายเล็กรายน้อย แล้วนำไปซื้อทองคำมาเก็บไว้ แต่ไม่ได้คาดหวังจะซื้อขาย ทองคำแบบเก็งกำไร แต่จะทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนเคลื่อนไหวให้ใกล้เคียงกับราคาทองคำในตลาดโลกเท่านั้น

และเช่นเดียวกับกองทุนรวมอื่นๆ คือ ต้องจ่ายค่าจ้างในการบริหารจัดการกองทุน ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนของกองทุนทองคำในประเทศไทย เพราะไม่มีกองทุนทองคำ เป็นของตัวเอง จึงต้องจัดตั้งกองทุนขึ้นมาและนำเงินที่รวบรวมได้ไปลงทุนในกองทุนทองคำในต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง ทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อ ในอัตราประมาณ 1.3-2%

นอกจากนี้ แม้ว่า เราจะตัดสินใจซื้อกองทุนวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า ราคาทองที่ซื้อได้เป็นเท่าไร เพราะต้องรออย่างน้อย 2 วัน หรือ ถ้าขายหน่วยลงทุน ก็ยังไม่ได้รับเงินทันทีต้องรอเวลาเช่นเดียวกัน

แต่ข้อดีของกองทุนทองคำ คือ ไม่ต้องเก็บทองไว้ให้นอนสะดุ้ง และมีเงินเพียงแค่หลักพันก็สามารถลงทุนได้แล้ว (สำหรับบางกองทุน) และถ้าอยากได้เงินปันผล ซึ่งหาไม่ได้จากทองคำแท่ง บางกองทุนก็สามารถจัดให้ได้

ในตอนนี้มีกองทุนทองคำให้เลือกลงทุนอยู่ 5 กองทุน จาก 5 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ได้แก่ ทหารไทย โกลด์ ฟันด์ (TMBGOLD) บลจ.ทหารไทย, เค โกลด์ (K-GOLD) บลจ.กสิกรไทย, เอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล โกลด์ ฟันด์ (I-GOLD) บลจ.เอ็มเอฟซี, อยุธยา โกลด์ (AYFGOLD) บลจ.อยุธยา และ ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ (GOLD-FUND) บลจ.ทิสโก้

ทั้ง 5 กองทุนลงทุนในกองทุนแม่กองทุนเดียวกัน คือ SPDR Gold Trust กองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จัดตั้งและจัดการโดย สมาพันธ์ทองคำโลก (World Gold Council) จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 แห่ง คือ นิวยอร์ก สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละตลาดจะมีเวลา การซื้อขายและสภาพคล่องแตกต่างกัน

แต่ไม่ใช่ว่า ทั้ง 4 กองทุนจะเหมือนกันทั้งหมด เพราะแต่ละกองทุนจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันไป อาทิ ตลาดที่เข้าไปซื้อขาย และนโยบายป้องกัน ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

บลจ.ทหารไทย และ อยุธยา ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำในประเทศ แต่ บลจ.กสิกรไทย บลจ.เอ็มเอฟซี และ บลจ.ทิสโก้ เปิดทางให้ผู้จัดการกองทุนเลือกที่จะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้

โกล์ด ฟิวเจอร์ส

ของเล่นใหม่ของนักลงทุน และ แม้ว่า โกลด์ ฟิวเจอร์ส จะเป็นเรื่องใหม่ แต่ นพ.กฤชรัตน์ บอกว่า ในช่วงนี้มีปริมาณการซื้อขายในตลาด โกลด์ ฟิวเจอร์ส เพิ่มมากขึ้น และนักลงทุนที่นิยมทองคำแท่งก็เข้ามาในตลาดนี้มากขึ้นด้วย

ฟิวเจอร์ทองคำ (Gold futuers) หรือ โกลด์ ฟิวเจอร์ส เป็นสัญญาซื้อขายทองคำ ที่มี ทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% เป็นสินค้าอ้างอิง

โกลด์ ฟิวเจอร์ส ก็เหมือนกับฟิวเจอร์สชนิดอื่นๆ คือ นักลงทุนสามารถทกำไรได้ทั้งในเวลาที่ทองคำเป็นขาขึ้นและขาลง แถมยังใช้เงินลงทุนต่ำกว่าการลงทุนทองคำโดยตรง เพราะการลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินตามมูลค่าทองคำที่ลงทุน แต่จะใช้วิธีการวางเงินหลักประกัน หรือ ที่เรียกว่า Margin

แต่ข้อเสียของ โกลด์ ฟิวเจอร์ส คือ เป็นการลงทุนระยะสั้น เพราะแต่ละสัญญาจะมีระยะเวลาครบกำหนด และหากต้องการลงทุนต่อไปอีกก็ต้องใช้วิธีการ Roll Over ทำให้มีต้นทุนในการลงทุนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ถ้าคิดจะเข้าไปลงทุนคงจะไม่สามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปได้ ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเสียก่อน เพราะการลงทุนทองคำในรูปแบบนี้ มีความซับซ้อนมากกว่าแค่การซื้อทองคำแท่งมาเก็บแล้วรอเวลาขายทำกำไร ซึ่งในโอกาสหน้าเราจะมาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันอีกครั้งหนึ่ง

แต่ตอนนี้ใครใคร่ลงทุนทองในรูปแบบไหนก็ตามสะดวก แต่ขออย่างเดียว อย่าลืม “ความเสี่ยง” อย่ามองแต่ทองคำขาขึ้น เพราะทองคำขาลงก็เกิดขึ้นได้


โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ http://www.posttoday.com/