การลงทุนในตราสารหนี้

ตราสารหนี้ (Debt Instrument หรือ Fixed Income Securities) คืออะไร

ตราสารหนี้ คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสารซึ่งเรียกว่า ผู้กู้หรือลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวดๆ และเงินต้น หรือผลประโยชน์อื่นๆ ตามข้อกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อซึ่งเรียกว่า ผู้ให้กู้หรือเจ้าหนี้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนของตราสารหนี้นั้นจะมีตั้งแต่ระยะสั้น (ไม่เกินหนึ่งปี) ระยะปานกลาง (หนึ่งถึงห้าปี) ไปจนถึงระยะยาว (เกินห้าปีขึ้นไป) กรณีตราสารหนี้ในตลาดทุนโดยทั่วไปมักจะหมายถึงตราสารที่มีอายุไถ่ถอนมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป โดยผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ส่วนลดรับ หรือผลประโยชน์อื่นตามที่ได้มีการกำหนดไว้

การใช้คำว่า “ตราสารหนี้” ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถ ในการเปลี่ยนมือ ของผู้ถือ (นักลงทุนในตราสารหนี้) ซึ่งแตกต่างจากสัญญากู้ยืมที่แสดงความเป็น “เจ้าหนี้” และ “ลูกหนี้” ของผู้ให้กู้กับผู้กู้เงินเหมือนกัน แต่สัญญากู้ยืมเงินนั้น ขาดความสามารถ ในการเปลี่ยนมือของความเป็นเจ้าหนี้ระหว่าง นักลงทุน ทั้งนี้ การเปลี่ยนมือของตราสารหนี้ระหว่างนักลงทุนนั้นสามารถทำผ่าน
กลไกตลาดรอง (secondary market) ได้ ซึ่งปัจจุบันตลาดรองของตราสารหนี้ก็คือ BEX (Bond Electronic Exchange) ที่ดำเนินการโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ

ตามความหมายข้างต้นแสดงว่า... "ตราสารหนี้" ก็คือ ตราสารทางการเงินชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ต้องการเงินทุน (ผู้กู้) และผู้ที่มีเงินทุนแต่ต้องการผลตอบแทน (ผู้ให้กู้) ผูกพันกัน โดยมีข้อกำหนดต่างๆ ที่ระบุในสัญญาหุ้นกู้ (Indenture) เป็นกฎกติการ่วมกัน อีกทั้งตราสารหนี้ยังสามารถเปลี่ยนมือกันได้ในตลาดรอง คล้ายๆ กับการซื้อขายหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์ฯ

"ตราสารหนี้" เป็นศัพท์กว้างๆ แต่ที่ท่านอาจคุ้นเคยมากกว่า คือ “พันธบัตร” และ “หุ้นกู้” โดยพันธบัตรมักใช้เรียกตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ และมักเรียกว่าหุ้นกู้เมื่อออกโดยบริษัทเอกชน แต่ในต่างประเทศใช้คำว่า “Bond” สำหรับตราสารหนี้ทั่วไปทั้งที่ออกโดยรัฐและเอกชน มีในบางกรณีที่เรียกว่า “Debenture” เมื่อตราสารหนี้นั้นไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ผู้ที่ออกตราสารหนี้แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม

1. รัฐบาล (โดยกระทรวงการคลัง) ซึ่งเราเรียกตราสารหนี้นี้ว่า "พันธบัตรรัฐบาล" จะมีตั้งแต่แบบ 1 ปี จนถึงแบบระยะยาว 20 ปี พันธบัตรรัฐบาล ที่จะให้ประชาชนซื้อได้โดยตรงเรียกว่า พันธบัตรออมทรัพย์
2. องค์กรภาครัฐ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ตราสารหนี้ในกลุ่มนี้มักจะมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งมีความเสี่ยงต่ำมาก เช่นกัน
3. บริษัทเอกชน คือบริษัททั่ว ๆ ไป ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน มักเรียกว่า "หุ้นกู้" ซึ่งจะมีความเสี่ยงมากหรือ น้อยขึ้นกับความมั่นคงของ บริษัทผู้ออกหุ้นกู้

ประเภทของตราสารหนี้ มีวิธีแบ่งอยู่ 2 อย่าง

แบ่งตามสิทธิในการเรียกร้อง

  1. ตราสารหนี้ด้อยสิทธิ โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิในการเรียกร้องเงิน ต้นคืน น้อยกว่าเจ้าหนี้ทั่วไป ในกรณีที่บริษัทผู้ออกตราสารหนี้เกิดมีปัญหาหรือล้มละบาย แต่ก็จะได้รับการจัดสรรเงินคืน ก่อนผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญ
  2. ตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ผู้ถือตราสารหนี้ประเภทนี้จะมีสิทธิทัดเทียมกับเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ๆ และมีสิทธิมากกว่า ผู้ถือตราสารหนี้ด้อยสิทธิ

แบ่งตามการค้ำประกัน

1. ตราสารหนี้มีประกัน หมายถึง ตราสารสหนี้ที่ผู้ออก นำสินทรัพย์ซึ่งอาจจะเป็นที่ดิน , อสังหาริมทรัพย์, หรือแม้แต่รายได้ในอนาคต เป็นหลักประกันการออม โดยผู้ถือตราสารหนี้จะมีบุริมสิทธิเหนือสินทรัพย์นั้น
2. ตราสารหนี้ไม่มีหลักประกัน ก็คือ ตราสารสารหนี้ที่ไม่ได้มีการนำสินทรัพย์ใด ๆ มาเป็นหลักประกัน ตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันอาจจะเป็นตราสารหนี้ด้อยสิทธิหรือ ตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิ

สิ่งต้องรู้ก่อนลงทุนในตราสารหนี้

  1. มูลค่าที่ตราไว้ คือราคาต่อหน่วยที่ระบุเอาไว้ในตราสาร
  2. อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว คืออัตราดอกเบี้ยที่ ผู้ออกสัญญาว่าจะจ่ายให้ผู้ลงทุนซื้อตราสารนั้น โดยอัตราดอกเบี้ยที่ระบุอาจจะเป็น อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่
  3. งวดการจ่ายดอกเบี้ย คือการระบุว่าจะจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ลงทุน จำนวนกี่ครั้งต่อปี
  4. วันครบกำหนดไถ่ถอน คือวันที่ตราสารหนี้นั้นจะหมดอายุ และผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นคืน ความสำคัญของวันครบกำหนดไถ่ถอน อยู่ที่ว่ามันยาวนานเพียงใด
  5. องค์กรที่ออกตราสาร และอันดับเครดิต คือความมั่นคงขององค์กร ที่ออกตราสารหนี้จะบ่งบอกถึงความเสี่ยงของการลงทุนนั้น ซึ่งหากเป็น รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ หากเป็นบริษัทเอกชน ผู้ลงทุนอาจจะตส้องศึกษาในรายละเอียดขององค์กรนั้นบ้างว่ามั่นคงหรือไม่
  6. ประเภทของตราสารหนี้ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าตราสารที่เราลงทุน มีความเสี่ยงอย่างไร หากบริษัทลูกหนี้เรามีปัญหา เพราะตราสารหนี้นั้นมีอยู่หลายประเภท
  7. ข้อสัญญา/เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นการดูในรายละเอียดว่า ผู้ออกหุ้นกู้มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษที่จะทำ หรือไม่ทำบ้าง เช่น ผู้ออมอาจสัญญาว่าจะรักษาระดับหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกินระดับที่กำหนด เป็นต้น

ความเสี่ยงของการลงทุนในตราสารหนี้

ความเสี่ยงที่เข้าใจง่ายที่สุด คือความเสี่ยงของการที่ผู้ขาย ไม่ยอมจ่ายเงินต้น หรือดอกเบี้ยให้ผู้ซื้อ (default risk) ซึ่งจะเกิดในกรณีบริษัทเกิด วิกฤตทางการเงินอย่างรุนแรง ความเสี่ยงนี้ จะไม่มีในกรณีที่เป็นตราสารหนี้ของภาครัฐ เพราะตามหลัก รัฐจะมีวิธีหาเงินมาจ่ายเงินต้นของพันธบัตรได้แน่นอน (โดยการออกพันธบัตรชุดใหม่ เมื่อชุดเก่าจะครบอายุ) แต่กรณีรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้ถูกค้ำประกัน) และ บริษัทเอกชน จะมีโอกาสดังกล่าวได้

เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าตราสารหนี้ที่เราซื้อมีความเสี่ยงต่อการไม่ได้เงินคืน ไม่ยากครับ ทุกครั้งที่บริษัทเอกชนจะออกตราสารหนี้ จะต้องมีการให้หน่วยงานภายนอกประเมินคุณภาพ และความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจ และแปลออกมาเป็นเครดิตเรตติ้ง เพื่อให้เราเข้าใจง่าย ๆ โดย เครดิตเรตติ้งของตราสารหนี้แต่ละตัว ก็จะมีตั้งแต่ AAA -> AA->A-> BBB->BB….. ตามลำดับ ตราสารหนี้ที่ได้อัตรา AAA ก็หมายถึงว่า มีความมั่นคงมาก โอกาสที่จะล้มละลายน้อยมาก แต่ถ้าตราสารหนี้ที่ได้ BBB ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น อัตราเครดิตเรตติ้ง จะมีเครื่อง + หรือ – กำกับด้วย เป็นการแยกลำดับย่อย เช่น A+ ดีกว่า A เป็นต้น

เครดิตเรตติ้ง เปรียบเสมือนเทอร์โมมิเตอร์ ในการวัดความเสี่ยงของบริษัท โดยหน่วยงานที่ประเมิน อาจมีการปรับเปลี่ยนเครดิตเรตติ้งเมื่อเวลาผ่านไป ตัวอย่างเช่น บริษัทคิงพาวเวอร์ ถูกลด เครดิตเรตติ้ง จากBBB+ เป็น BBB- เมื่อมีกรณีพิพาทกับ ทอท. และมีแนวโน้มถูกยึดสัมปทาน

ความเสี่ยงของการไม่ได้เงินต้นหรือดอกเบี้ยคืน เป็นความเสี่ยงที่เข้าใจง่าย แต่จริง ๆ แล้วยังมีความเสี่ยงอย่างอื่นอีก เช่น ความเสี่ยงของดอกเบี้ย (interest risk) อธิบายง่าย ๆ คือ หากตลาดการเงินมีแนวโน้มว่าดอกเบี้ยกำลังขึ้น หากเราใจร้อน ไปซื้อตราสารหนี้ที่อายุยาว ๆ ปรากฏว่า อีก 1-2 เดือน มีตราสารหนี้ตัวใหม่ ๆ ออกมา ที่อายุเท่ากัน เครดิตเรตติ้งเท่ากัน แต่ให้ดอกเบี้ยดีกว่า กลายเป็นว่าเราเสียจังหวะที่จะได้ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เงินลงทุนถูกล้อคไว้กับ ตราสารหนี้ที่ผลตอบแทนไม่ดีนัก แล้วยังต้องถือยาวอีกด้วย

ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ย อาจเรียกอีกชื่อว่า price risk หรือความเสี่ยงด้านราคา หมายความว่า เมื่อดอกเบี้ยตลาดขี้น ตราสารหนี้ที่เราถืออยู่ หากเราจะไปขาย จะได้ราคาที่ลดลง หรือขาดทุนได้ แต่หากผู้ซื้อ ไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อ ๆ ขาย ๆในตลาด หรือมีความสามารถที่จะถือจนครบกำหนดได้ ดังนั้นความเสี่ยงตรงนี้ก็คงไม่มี

ซื้อตราสารหนี้ได้ที่ไหน

การซื้อตราสารหนี้ไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือเอกชน เราจะแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ ซื้อกับผู้ออกตราสารโดยตรง กับซื้อต่อจากผู้อื่น

การซื้อกับผู้ออกตราสารโดยตรง เช่น การบินไทยต้องการออกตราสารหนี้เพื่อระดมทุน การบินไทยก็จะหาบริษัทช่วยขาย (เราเรียกบริษัทที่ทำหน้าที่ขายให้การบินไทยว่า underwriter) บริษัทที่ทำหน้าที่ขาย ก็จะออกข่าวให้คนที่สนใจมาจองซื้อ โดยทั่วไป การซื้อมือแรก (เราเรียกว่าซื้อในตลาดแรก) ราคาที่เขาเสนอจะเป็นราคาพาร์ หรืออธิบายง่าย ๆ ว่า เป็นราคาเท่ากับ ที่เราซื้อ เช่น ราคาที่เขาตั้งไว้หน่วยละ 1 พันบาท เมื่อครบกำหนดก็จะได้เงินคืน 1 พันบาท (แต่ระหว่างนั้นเราก็จะได้ดอกเบี้ยเป็นระยะตามที่เขากำหนดไว้)

หากเป็นตราสารหนี้ในภาครัฐ อาจมีทั้งกรณีที่รัฐจัดจำหน่ายเอง หรือฝากให้คนอื่นช่วยขาย เช่นกรณีพันธบัตรออมทรัพย์ในปี 2550 กระทรวงการคลังก็ให้ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ทำหน้าที่ขาย

กรณีที่ 2 การซื้อต่อจากผู้อื่น (เรียกว่าการซื้อในตลาดรอง) กรณีนี้จะค่อนข้างยุ่งยากต่อการทำความเข้าใจหน่อย เช่น นาย ก. ซื้อตราสารหนี้บริษัท A ที่มีอายุ 5 ปี ให้ดอกเบี้ย 4% ราคาหน่วยละ 1,000 บาท เป็นจำนวน 1,000 หน่วย ต่อมาเวลาผ่านไป 1 ปี (ตราสารหนี้อายุเหลือ 4 ปี นาย ก. มีความจำเป็นต้องการใช้เงิน จึงหาทางที่จะขายตราสารหนี้ดังกล่าว โดยอาจทำได้โดย บอกคนที่รอบข้างที่รู้จัก ว่าจะช่วยซื้อให้ได้หรือไม่ (ซึ่งมักจะยาก) กับอีกวิธีที่นิยมกันคือไปบอกบริษัทหลักทรัพย์ ว่าต้องการขายตราสารหนี้ดังกล่าว ช่วยหาคนซื้อให้หน่อย

นาย ข. ได้ทราบข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ว่า มีคนจะขายตราสารหนี้บริษัท A ที่มีอายุคงเหลือ 4 ปี นายข. ก็จะต่อรองราคากับบริษัทหลักทรัพย์ว่า ต้องการซื้อราคาเท่าใด หากตกลงได้ลงตัว (ได้ราคาซื้อที่นาย ข.ยอมรับได้ และนายก. ก็ยอมขาย โดยบริษัทหลักทรัพย์ ได้ผลประโยชน์พอสมควร) การซื้อขายเปลี่ยนมือก็จะเกิดขึ้น

ความยุ่งยากจะอยู่ที่ราคาที่เหมาะสมที่ทั้ง 2 ฝ่าย พึงพอใจ ลองนึกภาพดูว่า ถ้า ณ เวลานั้น อัตราดอกเบี้ยธนาคารหรือมีการลงทุนในระยะ 4 ปี ที่ให้ผลตอบแทน 7% หากนาย ก. บอกว่าจะขายตราสารหนี้ A ในราคาพาร์(ราคา 1,000 บาทต่อหน่วย) นาย ข.คงจะไม่ซื้อ (จะซื้อทำไม เมื่อเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ผลตอบแทน 7% แต่ถ้าไปซื้อตราสารหนี้A ของนาย ก. ได้แค่ 4%) หากในภาวะดังกล่าว นาย ก.อาจต้องยอมที่ตั้งราคาที่ต่ำกว่าที่ซื้อมา นาย ข.อาจยอมซื้อเช่น ถ้าตั้งราคาที่หน่วยละ 900 บาท (ตอนครบอายุได้เงินคืนเต็ม 1,000 บาท) นาย ข.อาจสนใจ ( ในมุมของนายข. คือลงทุน 900 บาท ได้ดอกเบี้ย 4%หรือ 40 บาท ไปจนครบ 4 ปี และได้เงินต้นคืน 1,000 บาท)

ในทางตรงกันข้าม หากช่วงนั้นอัตราดอกเบี้ยทั่วไปลดลงเหลือ 2% ตราสารหนี้ A กลับเป็นการลงทุนที่ดี เพราะให้ผลตอบแทนตั้ง 4% ถ้านาย ก. จะขายที่ 1,000 บาท ก็จะเป็นการขายที่ได้ราคาน้อยไปหน่อย เพราะ บางทีตั้งราคาที่ 1,100 บาท (ตอนครบอายุได้เงินคืน 1,000 บาท) ก็ยังมีคนยอมซื้อ

อาจมีผู้อ่านสงสัยว่า ทำไมในตัวอย่าง มีการซื้อขายที่ราคาไม่เท่ากับ 1,000 บาท เช่นกรณีแรก ซื้อที่ 900 บาท หรือกรณีที่ 2 ซื้อที่ 1,100 บาท แต่ตอนครบกำหนด ได้เงิน 1,000 บาท เอาตัวเลข 1,000 บาท มาจากไหน (ตัวเลข 900 บาทหรือ 1,100 บาท ได้มาจากการที่ผู้ซื้อและขายพึงพอใจที่จะซื้อขายในราคานั้น) คำตอบคือว่า 1,000 บาทเป็นคำสัญญาของบริษัท A ครับ ที่จะจ่ายเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดของตราสารหนี้ บริษัท A ไม่สนใจว่า ตราสารนั้นจะขายไปกี่มือ แค่บอกว่า ตอนนี้ใครเป็นเจ้าของตราสารหนี้หน่วยนั้น ๆ บริษัทA ก็จะตามไปจ่ายดอกเบี้ย 4% ที่กำหนดไว้หน้าตราสาร ( ถ้าซื้อตราสารหนี้จากคนอื่นแล้วไม่แจ้งโอน ดอกเบี้ยก็ไม่ได้นะครับ เพราะเจ้าของเก่าเขาก็จะได้รับดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ) และเมื่อตราสารหนี้นั้นครบอายุ บริษัทA ก็จะดูว่าใครเป็นเจ้าของและตามไปจ่ายเงิน 1,000 บาท ตามสัญญา

จะเห็นว่าการซื้อตราสารหนี้ในตลาดรองค่อนข้างจะยุ่งยาก และมีข้อมูลหลายอย่างที่ต้องมาตัดสินใจ บทความนี้เป็นเพียงแค่การให้ข้อมูลขั้นต้น ว่า การซื้อขายตราสารหนี้ มีรูปแบบเป็นอย่างไร ในเบื้องต้น ผมแนะนำว่า ถ้าสนใจลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ ให้ซื้อในตลาดแรกเป็นหลักครับ และให้ถือจนครบกำหนด เมื่อใดคิดว่ามีความชำนาญพอ ค่อยขยับขยายมาใช้วิธีที่ซับซ้อนขึ้น