สวนญี่ปุ่น

การจัดสวนสไตล์ญี่ปุ่น

สวนญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากสวนจีน พร้อมๆ กับการเข้ามา ของศาสนา พุทธ ในช่วงศตวรรษที่ 6 มีพระภิกษุญี่ปุ่น 2 รูป จาริกไปศึกษา ในดินแดนจีน และกลับมาตั้งลัทธิใหม่ 2 ลัทธิคือ Shingon และ Tendi ซึ่งเป็น ศาสนาพุทธ แบบมหายาน ลัทธิทั้งสองนี้ เน้นทาง ปฏิบัติ โดยให้ ผู้ปฏิบัติธรรมหาที่ วิเวก เข้าสู่ความเงียบของธรรมชาติ ทำสมาธิเพื่อให้เกิดสติปัญญา การจัดสวน ในญี่ปุ่น จึงมีจุดเริ่มต้น จากวัดเช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของ สวนจีน จากนั้นจึง แผ่ขยาย เข้าไปในวัง และ บ้านคหบดี ในเวลาต่อมา
ช่วงศตวรรษ ที่ 8-12 วัดในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นวัดใน ลัทธิชินโต มีสถาปัตยกรรม คล้ายกับที่ปรากฎในประเทศจีน คือ หลังคา เป็นทรงโค้ง มักจะมุงด้วยหญ้า ไม่มุงกระเบื้อง และจะมี ลานกรวด เพื่อแสดงถึง ความเป็นพื้นที่สงบ ศักดิ์สิทธิ์ ลานกรวดตามวัดต่างๆ จะถูกสร้างขึ้น อย่างประณีต และไม่ปลูกต้นไม้ ที่มีใบร่วงไว้ใน บริเวณใกล้เคียง ในตอนปลายสมัยนี้ นิยมสร้างสระน้ำ ผืนใหญ่ ไว้ในสวน มีศาลา สวดมนต์ ตั้งอยู่รอบๆ สวนในบ้านขุนนาง ชั้นผู้ใหญ่ หรือคหบดี บริเวณศาลาจะมี การตกแต่ง ประดับประดา ด้วยอัญมณี มีค่า มีการติดโคมไฟ ตลอดจน การทำรั้วรอบ

ในศตวรรษที่ 12-14 การเข้ามาของลัทธิ Zen ในญี่ปุ่น ทำให้เกิดสวน อีกประเภทที่เรียกว่า Dry Garden (kare sansui) มีลักษณะเป็นสวนแบบ Minimalism ซึ่งได้รับการออกแบบ เพื่อให้เอื้อต่อการทำสมาธิ สวน Zen จึงเป็นสวนที่มีองค์ประกอบ ( Element ) น้อยมากแสดง ให้เห็นแก่นแท้ ของธรรมชาติ สวนมีลักษณะเป็นลานกรวดที่มีต้นไม้น้อยที่สุด เพื่อให้เห็น ผิวสัมผัสของหินว่า อาจปกคลุมด้วยตะไคร่ หรือ มอส แนวคิดใน การออกแบบ เป็นการหยิบส่วนประกอบต่างๆ ออกไป ตัดสิ่งฟุ่มเฟือยออกให้ถึงแก่น แนวคิดนี้หากเปรียบเทียบกับ สวนแบบจีน สวนจีนจะมีลักษณะเป็นตัวแทน ( Representation) สิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ อาทิ แทนภูเขา แทนน้ำตก ฯลฯ แต่ สวนญี่ปุ่น เป็นสวนที่มีลักษณะแบบชี้แนะ (Suggestion) ให้คิดว่านี่คือภูเขา ผู้ชมต้องใช้ความคิด และ จินตนาการประกอบการรับรู้นั้น

สวนญี่ปุ่น

คติแบบเซ็นเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งอิทธิพลต่อการจัดสวนหินและสวนทรายซึ่งเป็น การเสนอแนวคิดทางนามธรรมใน การจัดสวนแบบญี่ปุ่น ที่แสดงออกถึงความรักและเคารพใน ผืนดิน ก้อนหิน และพืชพันธุ์ ซึ่งแม้จะเป็นบริเวณเล็กๆ แต่ก็สามารถนำ จินตนาการ ของผู้ใช้ให้สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ สวน Zen อันเลื่องชื่อ ในญี่ปุ่นได้แก่สวน Ryoan-ji ( เรียว อัน จิ ) ในเมืองเกียวโต ซึ่ง เป็นสวนหิน ที่มี Theme มาจาก กองเรือ และ ทะล กลุ่มหิน คือ กองเรือ ส่วนรอยคราดหินเป็นวงกลม แทนกระแสน้ำที่วนรอบเรือ Stepping Stone มาจากการ simplify เกาะเล็ก เกาะน้อยของญี่ปุ่น แล้ว หยิบออก โดยวิธีการ Subtraction คิดจากรูปด้าน เสมือนเมื่อน้ำท่วมสูงขึ้น จะเหลือแผ่นดิน หรือ เกาะที่สูงเท่านั้น โดยแสดงแนวคิดดังกล่าวออกมาทาง Plan จัดได้ว่าเป็นสวน Abstract แห่งแรกของโลก ผู้ที่เห็นรอยคราดนี้จะนึกถึงน้ำ โดยที่สวนไม่มีการใช้น้ำตกแต่งเลยแม้สักหยด สวน Zen บางแห่งมีการประยุกต์ ให้มีต้นไม้ที่ ควบคุม Scale ได้ ให้ขึ้นเกาะกับหินเพื่อเพิ่มชีวิตให้กับสวน ถึงแม้ว่า สวน Zen จะดูเป็น Static Garden กระนั้นเมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้ง สวนยังมี Mood of Season ที่แสดงออกยามมี ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงไป หรือ การเปลี่ยนแปลงของมอส หรือตะไคร่ ที่จับบนก้อนหิน

สวนญี่ปุ่น

ช่วงศตวรรษที่ 16-17 Stroll Garden ( Stroll = เดินเล่น เดินทอดอารมณ์ ) สวนญี่ปุ่นในสมัยก่อนหน้านี้ เป็นลักษณะ ที่ผู้ใช้ไม่ออก ไปเดินใน สวน แต่ในช่วงศตวรรษนี้ เกิดความนิยมจัดสวนที่มีการใช้งานบริเวณนั้นจริงๆ ไม่เพียงผ่าน การรับรู้ด้วยตาเท่านั้น สวนที่ได้รับการออกแบบในช่วงสมัยนี้มีความอลังการ และ ใช้จินตนาการในการสร้างอย่างมาก สวนที่มีชื่อเสียง ในยุคนี้ได้ แก่ สวนของปราสาท Katsura ซึ่งมีอาณาบริเวณขนาด 11 เอเคอร์ มีพื้นที่ส่วนที่เป็นน้ำตรงกลาง และมีการสร้างตำหนักต่างๆ บนมุมของ เนินน้ำ ลักษณะเด่นที่ปรากฎ คือ มีการใช้ องค์ประกอบในการนำสายตา สร้างความลึกของภาพ หรือ นำมาเป็นกรอบของภาพของสวน ที่ต้องการให้ปรากฎการใช้ หินที่ทำให้ดูเรียบง่าย มีผังการจัดวางแบบลุ่มลึกแนบเนียน อาทิ การซ่อนหินในแนวต้นไม้
สวนญี่ปุ่น ได้รับอิทธิพล มาจากการจัดสวนถาด (tray garden) ด้วยเช่นกัน สวนญี่ปุ่นมักจะมี open terrace ที่เป็นตัวเชื่อมระหว่าง พื้นที่ภายในอาคาร กับพื้นที่ภายนอก องค์ประกอบ ที่มักจะพบใน สวนญี่ปุ่น คือ ตะเกียงหิน (stone lantern) ซึ่งวัตถุประสงค์เดิมใช้ เพื่อให้แสงสว่าง ในสวนยามค่ำคืน ต่อมาได้กลายเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญประการหนึ่งของ งานประติมากรรมใน สวนแบบญี่ปุ่น
การคำนึงถึง ความสอดคล้องสัมพันธ์ระหว่าง ที่ว่าง เวลา และ มิติในการมอง นับเป็นเสน่ห์ประการหนึ่งของสวนแบบญี่ปุ่น คือ มีลักษณะที่ค่อยๆ เผยแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของที่ว่างที่แตกต่างกันไปในแต่ละมุมมอง สวนญี่ปุ่น มีปฏิสัมพันธ์ กับแทบทุก สัมผัสของมนุษย์ โดยสื่อผ่าน สี รูปทรง เส้นสาย ผิวสัมผัสของหิน ทราย ก้อนกรวด หินปูทางเดิน (stepping stone) ตลอดจนกลิ่นละมุนของดอกไม้และต้นสน

สวนแบบญี่ปุ่น เป็นสวนที่สร้างขึ้นเพื่อจำลองความงดงามของ ฉากธรรมชาติ ด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง เป็นงานประณีตพิถีพิถัน ที่ต้อง ได้รับการจัดวางอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด วัตถุประสงค์ในการจัดการภูมิทัศน์ในสวนญี่ปุ่น ซึ่งมีพัฒนาการ สืบต่อกัน มายาวนานใน ประวัติศาสตร์ มีการจัดองค์ประกอบของภาพ ภูมิทัศน์โดยการจัดแต่งก้อนกรวด หิน ต้นไม้ สามารถมองได้จากหลากทิศทาง ทั้งจากมุมต่างๆ ในสวนและเมื่อมองจากชานบ้านซึ่งเป็น SPACE ที่เชื่อมต่อภายในบ้าน กับนอกบ้าน ได้โดยการเลื่อนฉากบาน เลื่อนออกทั้งระนาบผนัง

รูปแบบของสวนญี่ปุ่น

  • บ่อน้ำ สระน้ำ เกาะ และเนินดิน การเล่นระดับของเนินดิน แหล่งน้ำมา จากน้ำพุใต้ดินหรือแหล่งน้ำใกล้เคียง มีการหมุนเวียน ของน้ำ
  • มีลำธารและทางน้ำที่คดเคี้ยวไปในกลุ่มต้นไม้และหุบเขา ตื้นเพื่อให้เห็น คลื่นที่เกิดจากการไหลของน้ำผ่านไป บนก้อนหินที่ท้องน้ำ
  • การใช้หิน ตามสภาพธรรมชาติดั้งเดิม แต่มีการเลือกรูปทรง สีผิง ขนาด และการจัดกลุ่มที่มีความหมาย
  • แผ่นทางเดินหิน (stepping stone) เกิดจากพิธีชงชาในศตวรรษที่ 17 เพื่อเดนอย่างสำรวมไปยังห้อง หรื ศาลาชงชา
  • สะพานข้ามทางน้ำ อาจเป็นหินแผ่นเรียบแผ่นเดียวหรือสะพานไม้โค้ง หรือสะพานแผ่นหินวางห่างเป็นระยะ ตามจังหวะการก้าวเท้า
  • ลวดลายกรวด
  • ตะเกียงหิน ส่วนใหญ่เป็นหินอกรนิต ใช้ตกแต่งและให้แสงสว่างในพิธีชงชา
  • รั้ว และการตัดแต่งต้นไม้เป็นรั้ว

สวนญี่ปุ่น

การจัดสวนญี่ปุ่นเป็น วิชาการ ที่สมบูรณ์ ด้วยศิลปะและ ความรู้ อย่างมากมาย แต่ละยุค แต่ละสมัย จะมี แผนการ ตกแต่งที่แน่นอน มาตรฐาน มีความหมาย อันลึกซึ้งเป็น ศิลปการตกแต่ง ที่สูงค่า แต่การเรียง ก้อนหิน มีลักษณะ ที่แน่นอน เช่น แบบไหนชื่ออะไร จะต้อง ประกอบด้วย ก้อนหินรูปร่าง อย่างไร เป็นต้น
การจัดสวนญี่ปุ่น นิยมจัด ตั้งแต่ใน พื้นที่เล็ก ๆ แคบ ๆ เช่น สวนถาด ไปจนถึง พื้นที่กว้างขวาง เช่น ในอุทยาน หรือ พระราชวัง ในประเทศญี่ปุ่น แม้พื้นที่ บริเวณ ซอกแคบ ๆ ของอาคาร หรือใต้บันได บ้าน ญี่ปุ่น ก็พยายาม จัดให้เป็นสวน ทุกหนทุกแห่งจะมี สวนประดับอยู่ ทำให้กลายเป็น สวน ขนาด ใหญ่ ทั่วประเทศ

ประเภทของสวนญี่ปุ่น

สวนญี่ปุ่นแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. สวนภูเขา เป็นสวนที่ลอกเรียนแบบธรรมชาติ
2. สวนในที่ราบ เป็นสวนแห่งการสมมุติ
3. สวนน้ำชา เป็นสวนที่นำลักษณะเด่นของสวนภูเขาและสวนที่ราบมาผสมกัน ประกอบด้วยสวนย่อมเล็ก ๆ 2 ข้าง ทางเดิน ไปสู่เรือนน้ำชา ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ

สวนภูเขาหรือสวนเนิน

สวนภูเขาหรือสวนเนิน

สวนภูเขานี้บางทีก็เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "The landscape garden with hills and water" เป็นสวนที่ตกแต่งตามแนวคิด ความคิดของพระ ในศาสนาชินโต หรือที่เรียกว่า Shinden styles นั่นเอง
สวนภูเขาประกอบด้วย ภูเขาหรือ เนินดิน สลับกับที่ราบ มีน้ำตก ลำธาร สระน้ำ โขดหิน หาดทราย ถ้าเป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ อาจมีเกาะกลางทะเลสาบ

พันธุ์ไม้ประดับ ที่ใช้ประดับในสวนแบบนี้ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด อาทิ
พันธุ์ไม้ใหญ่ ต้นสน พืช พลับ โอ๊ก เมเปิล ซากุระ หลิว ฯลฯ
พันธุ์ไม้พุ่มเตี้ย เช่น ไผ่ อาซาเลีย ปรง ชา ฯลฯ
พืชคลุมดิน เช่น เฟิร์น ไม้ซุ้มต่าง ๆ มอส ฯลฯ
พันธุ์ไม้น้ำ เช่น กก บัว ไอริส ฯลฯ

สระน้ำหรือลำธาร มักจะไม่ลึกนัก ในน้ำใสสะอาดนอกจากจะมองเห็นก้อนหิน ก้อนกรวดที่ก้อนสระ หรือก้นลำธารแล้ว ยังสามารถ มองเห็น ปลาแฟนซีคาร์พ หลากสีสวยงาม ว่ายวนเวียนไปมา ทำให้มีระรอกน้ำ เมื่อมองดูแล้ว จะเกิดความรู้สึกว่า มีชีวิตชีวามากขึ้น
ลำธาร ถ้ามีความกว้างมาก ก็จะทำสะพาน สำหรับข้าม โดยใช้แผ่นหินสกัดที่มีความโค้งเล็กน้อยวางพาดขวางลำธาร ริมตลิ่งทั้ง 2 ฝัง 2 ฝั่งจะฝัง ก้อนหินรูปทรงสูงเอาไว้ สมมุติว่าเป็นเสาสะพาน แต่ถ้าลำธารแคบและตื้น หากใช้ก้อนหิน ที่มีผิวด้านบนเรียบวาง ไว้เป็นระยะ ๆ ห่างกันพอดีกับระยะก้าวเพื่อใช้เดินข้ามลำธาร ริมคันตลิ่งอาจป้องกันมิให้ตลิ่งพัง โดยฝังก้อนหินก้อนใหญ่ เล็กไว้อย่าง กลมกลืน เหมือนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือฝังไม้เสากรมทั้งเปลือกหรือปลูกหญ้าเพื่อยึดก็ได้
ถ้าสระน้ำมีขนาดกว้างขวาง มักจะจัดให้มีเกาะอยู่กลางสระน้ำ บนเกาะอาจประดับด้วยก้อนหินเมื่อมองไกล ๆ มีรูปร่างคล้ายเต่า ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นศิริมงคลแก่บ้าน เพราะคนญี่ปุ่นถือว่าเต่าเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืน นอกจากนั้นมักจะปลูกต้นสน ไว้บนเกาะด้วย โดยถือว่า ต้นสน เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงถาวร เพราะต้นสนทนต่ออากาศอันหนาวเย็นได้

การปลูกต้นไม้ ปลูกต้นที่มีพุ่มใบสูงเป็นฉากไว้ด้านหลัง เพื่อไม่ให้บังต้นไม้ที่มีพุ่มใบเตี้ย สวนญี่ปุ่นจะไม่ปลูกต้นไม้ใหญ่ใว้ใกล้บ้าน เพื่อไม่ให้บดบังความงามของสวนเมื่อมองออกไปจากตัวบ้าน สีของพันธ์ไม้นิยมสีที่ไม่ฉูดฉาดนัก โดยปกติจะเป็นสีเขียว จะออกดอก หรือใบเปลี่ยนสี เพิ่มสีสรรบ้างก็ตามฤดูกาลเท่านั้น

ผิวดินไม่ว่าจะเป็นเนินดิน ในที่ราบหรือใต้ร่มไม้ส่วนใหญ่จะมีหญ้าหรือมอสขึ้นปกคลุมอย่างเขียวขจีเหมือนปูด้วยพรม ความยิ่งใหญ่ขอ งสวนภูเขา หรือ สวนเนินอยู่ที่ภูเขา/เนินดิน น้ำตก ลำธาร ซึ่งเลียนแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง คือพื้นที่เป็น เกาะของประเทศญี่ปุ่น นั่นเอง โดยทำการดัดแปลงและย่อส่วนให้เล็กลง

สวนในที่ราบ

เป็นสวนที่จัดขึ้นบน พื้นที่ราบ ปราศจากภูเขา/เนินดิน และสระน้ำเป็น เครื่งตกแต่ง สวนนี้เหมาะกับ บริเวณที่มี พื้นที่จำกัด เพราะไม่นิยม ปลูกต้นไม้มาก จะมีบ้างก็น้อยต้น ถ้าเป็นต้นใหญ่ มักจะมีกิ่งก้านโปร่ง ส่วนไม้พุ่มจะตัด แต่เป็นพุ่มกลม ให้กลมกลืนกับก้อนหิน สวนแบบนี้ เดิมทีเดียว นิยมจัดใน บริเวณลานวัด ซึ่งมีกำแพงเป็นฉากหลัง แต่ต่อมาได้มี ผู้นำแบบอย่างไป จัดในบริเวณบ้าน หรือที่พักอาศัย อย่างกว้างขวาง
สวนในที่ราบ จัดแต่งตามแนวคิด ของพระสงฆ์ใน ศาสนาพุทธ นิกายเซน ซึ่งยึดมั้นใน ความสงบสันโดษ เป็นสวนแบบจินตนาการ หรือเป็น สวนแห่งการสมมุติ เคลือบแฝงด้วย ปรัชญา ผู้จัดจะต้องใช้ จินตนาการใน การวางก้อนหิน ในการปลูกต้นไม้ และในการวาดลวดลาย ลงบนพื้น ทราย หรือกรวด ให้มองแล้ว เหมือนลูกคลื่นหรือ ระลอกน้ำในทะเล หรือในมหาสมุทร สวนในที่ราบ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

1. สวนแบบเขียวชอุ่ม 
2. สวนแบบพื้นที่แห้ง

สวนในที่ราบแบบเขียวชอุ่ม (Evergreen gardens)

ประกอบด้วยพื้นที่รายเรียบ ปกคลุมด้วยหญ้าหรือมอสสีเขียวขจีสมมุติว่าเป็น "น้ำ" อาจเป็นทะเลหรือมหาสมุทร มีต้นไม้และก้อนหิน รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ สมมุติว่าเป็น "เกาะ" ต้นไม้ใหญ่มีน้อยต้น และมักจะมีกิ่งก้านโปร่ง ส่วนพุ่มมัก จะตัดแต่งให้เป็น รูปทรงกลม เพื่อให้กลมกลืนกับก้อนหิน ส่วนประกอบอื่น ๆ ได้แก่ ตะเกียงหิน อ่างน้ำ แผ่นทางเดิน มีรั้วลักษณะโปร่งเป็นฉากหลัง เพื่อใช้ประดับ และแบ่งขอบเขตของสวน บางแห่งอาจ มีบ่อน้ำซึ่งแต่เดิมมีไว้ใช้ เพื่อประโยชน์ใช้สอย
สวนในที่ราบแบบนี้ นิยมจัดไว้ที่ มุมใดมุมหนึ่งใกล้ ๆ เรือนน้ำชาหรือบ้านพักเพื่อใช้น้ำในอ่างล้างมือ ล้างหน้าหรือล้างเท้า ก่อนขึ้นบ้าน แต่ในปัจจุบันมิได้ใช้ประโยชน์เพียงแต่มีใว้เพื่อเป็นการประดับเท่านั้น

สวนในที่ราบแบบเขียวชอุ่ม

สวนในที่ราบแบบแห้ง (Dry landscape gardens)

สวนชนิดนี้ สร้างตามปรัชญาของนักบวช นิกายเซน ในบริเวณลานวัดเพื่อทำสมาธิ พิจารณาความสงบทางจิต เพ่งพิจารณา รูปธรรม (สิ่งที่มีรูป) ของสรรพสิ่งที่มีชิวิต หรือสิ่งที่ไร้วิญญาณมาสู่นามธรรม(สิ่งที่ไม่มีรูป รู้ได้ทางใจ)
สวนแบบนี้มี พื้นที่ราบเรียบโรยด้วย ทรายหรือกรวด สมมุติว่าเป็น "น้ำ" และมีก้อนหินวางไว้เป็นกลุ่ม ๆ สมมุติว่าเป็น "เกาะ" มีกำแพงหรือบ้าน เป็นฉากหลังกรวดหรือทรายที่ราบเรียบอาจใช้ไม้ปลายแหลมขีดเป็นเส้นโค้งไปมาเหมือนลูกคลื่นหรือระรอกน้ำ ห่างกันบ้าง ชิดกันบ้าง บางเส้นกระทบกับก้อนหิน เมื่อมองดูแล้วจะเกิดความรู้สึกว่า มีเกาะหรือโขดหินโผล่ขึ้นมาจาก ทะเลหรือมหาสมุทร ข้อสังเกตของสวนแบบนี้คือ ไม่มีต้นไม้เป็นส่วนประกอบ และปราศจากน้ำ ซึ่งแม้แต่สักหยดเดียวก็ไม่มี

สวนในที่ราบแบบแห้ง

สวนน้ำชา

การจัดสวนรอบ ๆ เรือนน้ำชา โดยนำลักษณะเด่นพิเศษของสวนภูเขามาไว้บางส่วน และนำลักษณะเด่นพิเศษของ สวนภูเขา มาไว้บางส่วน และนำเอาลักษณะเด่นพิเศษของสวนในที่ราบ แบบเขียวชอุ่ม มาอีกบางส่วนจัด ให้ผสมผสานกัน
สวนน้ำชา จะมีรั้วด้านนอก เพื่อแสดงขอบเขตทางเข้าสวนจะมีประตูรูปทรงต่าง ๆ แปลกตาบางแห่งประตูมีหลังคา ที่มุงด้วยแผ่นไม้ หรือไม้ใผ่ หรือหญ้าคา ทางเดินเข้าสู่เรือนน้ำชาจะปูด้วยหินสกัดแบน หรือเขียงไม้ วางห่างกันพอดี กับก้าวเป็นการป้องกัน ไม่ให้เยียบพื้นดินซึ่งคุมด้วยหญ้าหรือมอสสีเขียวขจี สองข้างทาง จะจัดแต่งเป็นสวนประดับหิน สลับซับซ้อนเป็นระยะ ๆ

พันธ์ไม้ที่นิยมปลูกประดับ ในสวนน้ำชาประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด

ไม้ยืนต้น ชนิดที่มีกิ่งก้านและใบหนา ทึบ เช่น พีช เมเปิล โอ๊ค ส่วนชนิดที่มีกิ่งก้านและใบโปร่ง เช่น สนญี่ปุ่น หลิว ไผ่
ไม้พุ่ม นิยมตัดแต่งเป็นพุ่มกลม หรือรูปไข่เพื่อให้กลมกลืนกับก้อนหิน เช่น อาซาเลีย ชาดัด
ไม้ดัด ประเภทบอนไชหรือไม้เคราะซึ่งดัดหรือตัดแต่งให้มีลีลาเหมือนไม้ต้นใหญ่แต่ย่อส่วนให้เล็กลง
ไม้น้ำ มีทั้งปลูกกลางสระน้ำ และบริเวณ ริ่มตลิ่ง เช่น บัง กก ไอริส
พืชคลุ่มดิน คือพื้นที่ที่มีความสูงไม่เกิน 1 ฟุต ปลูกไว้บริเวณใกล้ก้อนหินหรือตอไม้ เพื่อให้เหมือน หรือใกล้เคียงกับ การเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ และเพื่อเชื่อมต่อกับสวนหย่อมที่อยู่ข้างเคียง เช่น เฟิร์น ไม้ซุ้มต่าง ๆ

การจัดสวนในมุมนี้ นอกจากจะมีลักษณะการจัดวางต้นไม้และวัตถุจนได้สัดส่วนกันแล้ว สิ่งที่เด่นสง่าก็คือ วัตถุต่าง ๆ ที่ใช้ประดับภายใน บริเวณสวนล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นที่แปลกตาไม่ซ้ำแบบใคร มีการเคลื่อนไหวของน้ำที่หยด และไหลลันกิ่งไม้ และใบไม้โอนเอียงไปมา เมื่อต้องกระแสลม มีแสงริบหรี่จากตะเกียงหินในยามค่ำคืน ทำให้บริเวณดังกล่าวนี้ มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ส่วนประกอบที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

ตะเกียงหิน สำหรับใช้ประดับในตอนกลางวันและให้มีแสงสว่างในตอนกลางคืน

อ่างน้ำ สำหรับใช้เพื่อล้างมือล้างหน้าหรือบ้วนปากก่อนเข้าพิธี (มีกระบวยไม้ไผ่ด้ามยาวสำหรับตักน้ำวางพาดไว้ที่ปากอ่าง)
หินก้อนใหญ่ สำหรับใช้จับยึด หรือสิ่งของระหว่างล้างมือ ล้างหน้า หรือบ้วนปากและสมมุติว่าเป็น "เกาะ"
แผ่นทางเดิน วางคดเคียวไปมาห่างกันพอดีกับระยะก้าวเพื่อใช้เป็นแนวทางนำไปสู่อ่างน้ำ เรือนน้ำชา และชมความงามของสวน
รั้วไม้โปร่ง เป็นรั้วไม้ไผ่หรือกิ่งไม้ประกอบอย่างง่าย ๆ ใช้เป็นฉากหลังเพื่อประดับหรือแบ่งขอบเขตของสวน
ต้นไม้ ใช้ต้นไม้หลายชนิด ต้นไม้ใหญ่ควรมีกิ่งใบโปร่ง เช่น หลิว สนญี่ปุ่น ไผ่ ไม้พุ่ม มักตัดเป็นรูปทรงกลม หรือรูปไข่ ให้กลมกลืนกับก้อนหิน เช่น ชา อาซาเลีย พืชคลุมดิน ปลูกเป็นกลุ่มใหญ่ข้างก้อนหิน เช่น เฟิร์น ไม้ซุ้มต่าง ๆ ด้านหน้า ใกล้ ๆ ตะเกียงหิน จะมีไม้ดัดเคราะหรือบอนไซ ปลูกไว้ กิ่งก้าน และใบมักจะบังตะเกียงหินไว้บ้างบางสวน
สวนแบบนี้บางแห่งอาจมีน้ำไหลหรือหยดน้ำจากท่อไม้ใผ่ลวอ่างน้ำตลอดเวลาจนมีน้ำล้น บริเวณพื้นข้างอ่างน้ำจึงต้องโรยกรวดเอาไว้ เพื่อให้บริเวณนั้นแลดูสะอาดตา และสมมุติว่าเป็น "ทะเลหรือมหาสมุทร"

สวนน้ำชาญี่ปุ่น

องค์ประกอบของสวนญี่ปุ่น

น้ำ เป็นต้นกำเนิดของชีวิต เป็นสิ่งที่ชโลมใจให้เยือกเย็นและมีความสุข กระแสน้ำมีอำนาจที่จะไหลพังทลายสิ่งที่กีดขวางได้ กระแสน้ำไหลทำให้เกิดเสียง เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวา จึงนิยมใช้น้ำเป็นสิ่งประกอบที่สำคัญ การใช้น้ำในสวนญี่ปุ่นก็เพื่อสมมุติว่าเป็น ลำธาร หนอง บึง สระน้ำ ทะเล มหาสมุทร ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ การจัดน้ำไว้ภายในบริเวณสวนอย่างน้อยที่สุดก็มีน้ำในอ่างน้ำ ที่วางไว้ในสวนในที่ราบแบบเขียวชอุ่ม ส่วนสวนในที่ราบพื้นแห้ง ถึงแม้ภายในบริเวณจะไม่มีน้ำจริง ๆ แต่ก็ใช้กรวดหรือ ทรายโรยบนพื้นที่รายเรียบแล้วใช้ไม้ปลายแหลมขีดเส้นโค้งรอบ ๆกลุ่มก้อนหิน ชิดกันบ้างห่างกันบ้างเหมือน ระรอกน้ำหรือเกลี่ยวคลื่น ซึ่งเป็นการใช้น้ำโดยสมมุติ

องค์ประกอบของสวนญี่ปุ่น

การใช้น้ำเป็นส่วนประกอบในส่วนญี่ปุ่น

น้ำตก เป็นจุดเด่นสำคัญของสวนภูเขา น้ำตก เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งใน การจัดสวนญี่ปุ่น การปลูกต้นไม้ ไม่ควรปลูก ให้หนาทึบทากเกินไป ควรให้มีแสงสว่างลอดลงไปได้บ้างเพื่อให้เห็น ความงามของก้อนหิน และเห็นแสง เมื่อสะท้อนกับน้ำตกในบางจุด

ลำธาร เป็นทางน้ำตื้น ๆ ไหลผ่าน หุบเขาที่คดเคี้ยวไป-มาลงสู่พื้นที่ที่มีระดับต่ำกว่าเหมือนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ริมตลิ่งและในลำธารมีก้อนหินขนาดใหญ่และเล็กฝังไว้เป็นระยะ ๆ อย่างกลมกลืน เมื่อน้ำไหลผ่านก็จะปะทะกับก้อนหิน ทำให้เกิด ละอองน้ำ กระเซ็น เป็นฝอย และอาจมีเสียงดังซู่ซ่าสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

สระน้ำ ลักษณะรูปร่างเป็นแบบธรรมชาติ จะไม่ปรากฏรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม หรือ วางแสดงให้เห็นว่า เกิดจาก การกระทำของมนุษย์ เลย ขอบสระหรือริมตลิ่งจะฝังก้อนหินใหญ่/เล็กไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อป้องกันตลิ่งพังและเป็นการประดับด้วย การฝังก้อนหินริมตลิ่งนับว่า เป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่ง สระน้ำไม่ควรลึกนัก ถ้าขุดลึกเกินไปนอกจากจะทำให้ตลิ่งพังได้แล้ว ยังทำให้ไม่สามารถมองเห็น ก้อนหิน ก้อนกรวด ที่ก้นสระ น้ำในสระควรใสสะอาด ไม่มีกลิ่นและไม่กระด้าง การไหลของน้ำ ลงสู่สระน้ำอาจไหลตามลำธาร ซึ่งมีแหล่งน้ำตก เหมือนเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ ไม่ไช่ไหลจาก ท่อน้ำหรือก๊อกน้ำ การวางท่อส่งน้ำและท่อน้ำล้นควรซ่อนปลายท่อน้ำไว้ใต้ซอกหิน
ถ้าเลี้ยงปลาในสระน้ำ ควรเลือกปลา ที่กินพืชเป็นอาหาร เพื่อจะได้ช่วยกินตะไคร่น้ำ เช่น ปลาไน หรือ ปลาแฟนซีคาร์พ ซึ่งเป็นปลา ที่เชื่องและมีสีสันสดใสหลาย สีสดุดตา ข้อควรระวังใน การเลี้ยงปลา ก็คือ อย่าให้อาหารมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้น้ำเน่าได้ แต่ถ้าไม่เลี้ยงปลา ก็ควรปลูกพืชน้ำเช่น บัว สันตะวาใบพาย หรือใบข้าว ซึ่งสามารถเลี้ยงขึ้นอยู่ใต้น้ำ (ต้นและใบคล้าย ต้นผักกาด สีน้ำตาล) เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่น้ำ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเน่าเสียได้เป็นอย่างดี

น้ำพุ น้ำพุในสวนญี่ปุ่นเป็นน้ำพุที่ไหลริน ๆ เหมือนบ่อน้ำร้อน พุ่งขึ้นเหนือผิวดินเหมือนท่อน้ำรั่ว บางแห่งไหลออกจากซอกหิน โดยซ้อนท่อน้ำไว้ใต้ก้อนหิน ไม่นิยมน้ำพุที่พุ่งขึ้นสูง ๆ อย่างสวนแบบประดิษฐ์ โดยทั่วไปมักจะจัดน้ำพุไว้ที่บริเวณใกล้เชิงเขาหรือใกล้ทางเดิน

บ่อน้ำ ในการจัดสวนญี่ปุ่นอาจจัดให้มีบ่อน้ำอยู่ในบริเวณสวนด้วย รูปร่างของบ่อน้ำจะเป็นรูปเหลี่ยมหรือรูปกลมก็ได้ ไม่จำเป็นต้อง มีรูปแบบตาม ธรรมชาติเหมือนสระน้ำ โดยมีมือหมุนเพื่อกว้านถังน้ำขึ้นมาจากบ่อ แต่ในปัจจุบันมีไว้เพื่อประดับสวน มากกว่าการใช้ประโยชน์

หิน หินสำหรับประดับภายในสวนจะคัดเลือกรูปทรงและสีเป็นพิเศษ ไม่นิยมหินที่มีรอยสกัด เพราะผิดไปจากธรรมชาติชนิดของหินได้แก่ หินทราย หินแกรนิต หินชนวน หินคลอไรด์ ฯลฯ นอกจากหินก็มีก้อนกรวดขนาดต่าง ๆ กัน ใส่ไว้ในบริเวณ น้ำตก ลำธาร และสระน้ำ นิยมใช้ก้อนหินที่มีสีเข้ม เช่น สีเทา หรือสีดำ ทำให้รู้สึกว่ามืด ๆ ทึม ๆ เข้ากับสีเขียวของพุ่มไม้เป็นอย่างดี ถ้าไม่จำเป็นพยายาม อย่าใช้ก้อนหินที่มีสีขาว เพราะจะขาวโพลงสว่างมากเกินไป ก้อนหินต้องไม่มีร้อยตบแต่งอาจมีรูปร่างแหว่งเว้าหรือเป็นรูไปบ้าง แต่ควรเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมิใช่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
การวางก้อนหินในสวนไม่นิยม วางเป็นก้อนโดด ๆ อย่างน้อยจะต้องมีก้อนหินก้อนอื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่าวางไว้ข้าง ๆ เป็นส่วนประกอบ ระยะห่างระหว่างก้อนขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนหิน ถ้าก้อนหินใหญ่มากก็อาจวางห่างกันหน่อย ก้อนหินที่จัดวางไว้ในกลุ่มเดียวกันทุกก้อน ควรมีลักษณะผิวและสีเหมือนกัน แต่ละก้อนควรมีขนาดแตกต่างกัน โดยทั่วไปในกลุ่มหนึ่ง ๆ จะมีก้อนหินเป็นเลขคี่ เช่น 3 , 5 , 7 ฯลฯ โดยจัดเป็นรูปสามเหลี่ยมดังกล่าวแล้วในตอนต้น
แต่ก็มีบางครั้งที่วางก้อนหินเพียง 2 ก้อน แล้วปลูกต้นไม้อีก 1 ต้น ก็จะทำให้มองดูแล้วเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมได้เหมือนกัน
การประดับก้อนหินในบริเวณสวนควรฝังบางสวนของก้อนหินไว้ในดินโดยฝังส่วนที่เป็นรอยคอดตอนล่างให้จมลง ส่วนล่างของก้อนหิน ที่ระดับผิวดินจะต้องเป็นส่วนที่มีความกว้างหรือใหญ่กว่าส่วนบนที่อยู่เหนือดินขึ้นไป จะทำให้รู้สึกว่า ก้อนหินก้อนนั้น อยู่อย่างแข็งแรงมั่นคง มีลักษณะที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

REISHO - SEKI (spiritual form)

รูปทรงเตี้ย (low vertical)
ลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ขนาดสูงเป็น 1.5 ของความกว้างที่ฐาน ใช้เป็นจุดสนใจ หรือจุดเด่นที่สำคัญในการจัดสวน เป็นสัญญาลักษณ์ของสติปัญญา แสดงถึงจิตรใจที่สงบและมั้นคง

TAIZO - SEKI (body rock)

รูปทรงเตี้ย (tall vertical) คล้ายคนยืนใช้จัดวางในบริเวณน้ำตก

 

เป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างาม

SHINTAI - SEKI (heart rock)

ลักษณะแบน (flat) ส่วนกว้างเว้าเล็กน้อยคล้ายรูปหัวใจ

 

ใช้วางหน้าก้อนหินก้อนอื่นเสมอ

SHINKEI - SEKI (branching rock)

ลักษณะโค้ง (arching) ด้านบนเรียบฐานเล็กกว่าด้านบน

 

ใช้ประกอบเป็นหน้าผา 

KIKYAKU - SEKI (reclining rock)

ลักษณะเอียง (reclining) ส่วนเว้า วางหงายขึ้น

 

ใช้วางหน้าก้อนหินก้อนอื่นเสมอ